วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำตอบที่คาดไม่ถึง


...ปรีดาได้รับความสำเร็จพอสมควรในเรื่องอาชีพการงาน
แต่พออายุมากขึ้นก็เริ่มเดือดร้อน เพราะอาการปวดศีรษะ
ที่เป็นรุนแรงขึ้นทุกวัน จนสุขภาพเริ่มแย่ลง
จึงไปปรึกษาแพทย์

หลังจากที่ได้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา
ปรีดาก็ได้เจอกับแพทย์ที่แก้ปัญหาให้ได้
“ข่าวดีครับ ผมรักษาอาการปวดหัวให้หายได้” คุณหมอว่า
“ข่าวร้ายคือ เราต้องตัดเอาลูกอัณฑะออก
คุณเป็นโรคพบยากชนิดหนึ่ง
ลูกอัณฑะของคุณมันย้อยหลังไปกดกระดูกก้นกบ
เกิดความดันส่งต่อขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลัง
จนถึงหัวกะโหลก
ทำให้มีอาการปวดหัวอย่างมาก ทางเดียวที่จะรักษาได้คือ
ต้องตัดเอาลูกอัณฑะออก”

ปรีดาทั้งตกใจและเบื่อชีวิต ไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อไปทำไม
เขาไม่สามารถไตร่ตรองด้วยสติ
แต่ก็ยินยอมให้หมอตัดเอาลูกอัณฑะออก

ในวันที่เดินออกจากโรงพยาบาล แม้จะมีสติแจ่มใสอย่างเดิม
แต่ปรีดาก็รู้สึกว่า ส่วนสำคัญในชีวิตส่วนหนึ่งได้หายไป

ขณะเดินไปตามถนน เขารู้สึกว่าเป็นคนใหม่
และคิดว่าสามารถเริ่มชีวิตใหม่ได้
ปรีดา เดินผ่านหน้าร้านขายเครื่องแต่งกายชาย
เขาบอกตัวเองว่า
“สูทตัวใหม่นั่นแหละที่จำเป็น”
เขาเดินเข้าร้านและบอกคนขาย
“ผมอยากได้สูทสักตัว” คนขายกวาดตาสำรวจเรือนร่างของปรีดา

“ลองเบอร์ 44 ดูซิครับ”
ปรีดา หัวเราะ “ใช่เลย คุณรู้ได้ไง”
“งานของผมครับ”

ปรีดาลองสูทใส่ได้พอดี
ขณะมองดูตัวเองในกระจกเงาอย่างชื่นชม
คนขายก็ถามว่า “เสื้อเชิ้ตสักตัวไหมครับ”
ปรีดา คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ดี .....”
คนขายสำรวจดูแล้วพูดว่า “ลองแขน 34 และก็ ... คอ 16”
ปรีดา แปลกใจมาก “ถูกอีก คุณรู้ได้ไง”
“งานของผมครับ”
ปรีดา ลองใส่เสื้อเชิ้ต ซึ่งก็เหมาะเหม็งพอดี
ขณะที่จัดคอปกเสื้อ

คนขายก็ถามต่อ “รองเท้าสักครู่ไหมครับ”
ปรีดา กำลังติดลม “เอาเลย ...” คนขายดูเท้าของปรีดา
แล้วพูดว่า
“ลองเบอร์...เก้าครึ่ง”
ปรีดา ตะลึง “ใช่เลย คุณรู้ได้ไง”
“งานของผมครับ”
ปรีดา สวมรองเท้าเดินไปทั่วร้าน มันนุ่มสบายมาก
คนขายถามต่อ

“ท่านจะรับกางเกงในบ้างไหมครับ”
ปรีดา คิดอยู่ครู่เดียว “เอา..” คนขายถอยหลังไปก้าวใหญ่
สำรวจดูเอวและสะโพกของปรีดา “ลองเบอร์ 36”
ปรีดา หัวเราะลั่น “ผิดแล้ว ผมนุ่งเบอร์ 34
มาตั้งแต่อายุสิบแปด”
คนขายสั่นศีรษะ “ท่านใส่เบอร์ 34 ไม่ได้หรอกครับ
ลูกอัณฑะของท่านจะถูกดันย้อยไปข้างหลังกดกระดูกก้นกบ
ทำให้ปวดหัวรุนแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ
-------------------------------------

บางครั้งเราอาจจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้บ้าง
ในมุมมองที่แตกต่างออกไป
จริงๆแล้ว ปัญหาเรื้อรังที่เกิดก็คือ ไม่แก้ที่สาเหตุ
ถ้าคุณพบกับปัญหาในทำนองนี้ ลองถอยหลังออกมาสักนิด
แล้วมองดูหาสาเหตุ
ถ้ายังไม่เจอ ก็ลองปรึกษาใครสักคน
บางทีคุณอาจจะได้คำตอบที่คาดไม่ถึง

มันก็จริงอย่างที่พระพยอมว่าน๊ะ


ข้าวต้มงานศพ

นายจิวเป็นคนจีน ปรึกษากับเพื่อนว่า จะนิมนต์พระพยอมมาเทศน์งานศพพ่อ เพื่อนๆบอกว่า ถ้ามึงนิมนต์พระพยอมมาเทศน์ รับรองข้าวต้มมึงไม่มีใครกินหรอก เขาลือกันว่า.. ถ้าพระพยอมเทศน์งานศพ ข้าวต้มเหลือทุกงาน แกก็สงสัยว่าทำไมถึงจะไม่มีคนกินข้าวต้ม แต่ในที่สุดก็นิมนต์อาตมาไป อาตมาไม่ทราบเรื่องก็เทศน์ตามปกติว่า... คนบ้านนี้ตาย... ญาติพี่น้องทุกคนทุกข์ยากลำบากอยู่แล้ว พวกเรายังมารุมกินกันในบ้านคนตายอีก มันเอาเปรียบกันเกินไป ใจดำ ไร้ความเมตตาสงสาร การมางานศพควรมาแสดงความเสียใจ มาให้กำลังใจ มาช่วยเหลือไม่ใช่มารุมกินคนตาย ปรากฏว่า ข้าวต้มเหลือ ไม่มีคนกิน


วัดประหลาด

คนจำนวนมากที่มาวัดสวนแก้วแล้วต้องแปลกใจ กุฏิเจ้าอาวาสหลังเล็กนิดเดียว แต่ที่เห็นเด่นเป็นสง่าคือ "ส้วม" จึงมีคนมาถามว่า... หลวงพี่ ทำไมสร้างส้วมเสียมากมายใหญ่โต แต่กุฎิเจ้าอาวาสหลังเล็กนิดเดียว ส้วมมันสำคัญกว่าเจ้าอาวาสนะโยม..... วันนั้นมีคนมาวัด 300 กว่าคน ไม่เห็นมีใครถามว่า ... กุฎิอาจารย์พยอมอยู่ตรงไหน คนเกือบจะทั้ง 300 คน มันถามว่า... ส้วมไปทางไหน ขืนสร้างส้วมเล็กกว่ากุฎิ เละแน่...คน 300 คนมันถล่มแหลกเลยมีหวังเหม็นคลุ้งไปทั้งกุฎิแน่โยม


ไม่เหมาะสม

คุณดำรง พุฒตาล มาสัมภาษณ์ เอาประวัติอาตมาไปลงในหนังสือ คู่สร้างคู่สม โอย...........คนมันโจมตีกันใหญ่ บอกว่าพระพยอมทำไม่เหมาะสม ไปลงในหนังสือผัวๆ เมียๆ ไปยุ่งเกี่ยวกับทางโลกมากเกินไป...... อาตมาบอกว่า... คงคนละหน้ากับเรื่องผัวเมีย นั่นแหล่ะ ยังไงก็ไม่เหมาะสม มันเป็นเรื่องของทางโลก พระไม่ควรยุ่งเกี่ยว....... อาตมาชักรำคาญ เลยถามว่า... อ้าว.....แล้วเวลาที่ญาติโยมแต่งงานกันน่ะ เป็นเรื่องของทางโลกไหม? ใช่.... แล้วเสือกมานิมนต์พระไปทำไม..?


คิดผิด

ไปถ่ายรูปวันแต่งงานมันก็สวยน่ะซิ .... พออยู่กันไปนานๆ สามีดูรูปแล้วหันมาดูตัวจริง มันเริ่มสงสัยว่า ไอ้ตัวที่เดินอยู่ในครัวเนี่ย.. มันใช่คนที่กูแต่งงานด้วยหรือเปล่า ว้าาาาาา แล้วมันก็จะนั่งดูรูปด้วยตาละห้อยทั้งวัน...... คิดในใจว่า ตอนแต่งงานคิดว่าจะได้เทพธิดามาเคียงคู่...... ที่ไหนได้ ... พอถึงวันนี้มันกลายเป็นสัตว์ประหลาด นอกจากหน้าตาน่าเกลียดแล้ว ยังพูดมาก ขี้บ่นอีก พอทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดง หันไปดูรูป แหมมึงน่ะสวยแต่เฉพาะวันแต่งงานเท่านั้นแหล่ะ ถ้ารู้ว่าแต่งงานนานๆ แล้วหน้าจะเป็นอย่างนี้ กูไม่แต่งหรอก เก็บความโสดไว้ให้เช่าดีกว่า

สาธุ.....

เมื่อพวกเราเป็นเด็ก...


เมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เราจะอายุประมาณ 3-4 ขวบได้ และจะมีความคิด ความสงสัย มุมมอง การกระทำ ที่ประหลาดและติงต๊องที่สุด ดังนี้

1. เราคิดว่ามาม่า ไวไว ยำยำ ทุกซองจะมีเนื้อสัตว์ พร้อมผักจัดมาอย่างสวยงาม ดูน่ากินเหมือนภาพบนซอง ไม่ใช่มีแต่เส้น น้ำ และไข่

2.เราคิดว่านมตราหมี เป็นนมจากเต้าของหมี แล้วนำมาใส่กระป๋อง สำหรับให้คนที่เรารัก (คำโฆษณา)

3.เราคิดว่าเส้นขนหรือผม จะงอกได้เร็วข้นถ้าเราเอาน้ำรดมัน

4.เราคิดว่าเครื่องเล่นวีดีโอสมัยก่อน คือเครื่องส่งจดหมาย เราจึงส่งจดหมายเป็น 10 ฉบับเข้าไป และรอดูรายการดิสนี่ย์คลับตอนเช้าวันเสาร์ แต่เราไม่เคยเห็นพี่นัท พี่แนนอ่านจดหมายพร้อมโชว์รูปที่เราวาดออกทีวีเลย

5.เราคิดว่าหนังจักรๆ วงศ์ๆที่ทุกคนชอบดูในตอนเช้าวันเสาร์ช่อง7

คือเรื่องจริงในสมัยก่อน และเป็นรายการทีวีที่สนุกที่สุด

6.เรามักจะสงสัยเสมอว่าทำไม เวลาผู้ใหญ่ดูฟุตบอลกันต้องส่งเสียงดัง และร้องดีใจสุดขีด เมื่อมีคนเตะลูกบอลไปโดนตาข่าย

7.เราคิดว่าที่จริงแล้วฝรั่งพูดภาษาไทย แต่พอพูดกับคนอื่น ต้องพูดภาษาอังกฤษ

8.เราร้องเพลงชาติไม่ถูก

9.อาหารหลักในมื้อเช้า คือ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง

10.ไก่ทอดของ KFC คือไก่ทอดที่อร่อยที่สุดในโลก

11.เราพยายามให้แม่ทอดเฟรนช์ฟรายให้กิน แต่พอทอดออกมา มันกลับไม่กรอบและมีแต่น้ำมันเยิ้ม

12.โดนบังคับให้นอนกลางวันทั้งๆที่ไม่อยากนอน แต่พอนอนหลับแล้วจะหลับต่อก็ปลุกให้ตื่น

13.โอวันตินของโรงเรียนอร่อยมาก แต่ให้กินถ้วยเล็กเท่าถ้วยเจ้าที่หน้าบ้าน

14.ผีคืออะไรก็ไม่รู้แต่น่ากลัวที่สุดเลย

15.ยาคูลท์ ทำไมขวดเล็กจัง

16.คำพูดที่จะพูดกับพ่อแม่เวลาถูกปฏิเสธตอนซื้อของเล่น คือ พ่อไม่รักหนู และ หนูไม่รักแม่แล้ว

17.ร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล (ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเด็กทารก)

18.เช่นเดียวกันกับการหัวเราะ

19.สำหรับเด็กทั่วไปจะบอกว่าอยากเป็น หมอ พยาบาล ตำรวจ ครู (อาชีพtop 10) แต่พอโตขึ้นมา อาชีพตำรวจกับครูจะออกไปจากความคิดทันที

20.เด็กๆชอบคิดว่า ตัวเองโตแล้วและทุกอย่างได้เหมือนผู้ใหญ่

21.มีความหวังดีอยากช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านต่างๆ เช่น ซักผ้า รีดผ้า และทำกับข้าว แต่โดนสั่งห้ามทุกครั้ง

22. เราอ้วกกันบ่อยเหลือเกิน เนื่องมาจากเมารถ เมาเรือ ได้กลิ่นเหม็น

23.สำหรับเด็กที่บ้านไม่ใกล้ทะเล การไปเที่ยวทะเล ถือเป็นโอกาสพิเศษมาก สถานที่ยอดฮิต คือ บางแสน และพัทยา

24.ต่อเนื่องจากข้อ 23 ถ้าพ่อแม่ไม่มีเวลาพาไปทะเลจริงๆ สวนสยาม ทะเลกรุงเทพฯ คือคำตอบ

25.อยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองว่าพัดลมมีหลักในการทำงานอย่างไร

26.เช่นเดียวกัน อยากรู้ว่าในรูปลั๊กไฟมีอะไร

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สุนัขป่า 2 ตัว


บทสนทนาของชายชราคนหนึ่งผู้กำลังสอนเรื่องราวของชีวิตให้หลานชายฟัง

ชายชรา "ตอนนี้กำลังมีการต่อสู้อยู่ในตัวของปู่อยู่ เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างหมาป่าสองตัว ตัวหนึ่งนิสัยโหดร้าย หงุดหงิดง่าย ชอบโกหก ขี้อิจฉา ละโมภ ตะกละตะกราม หยิ่งยะโส ชอบดูถูกผู้อื่น มองโลกในแง่ร้าย ชอบสงสารตัวเอง

อีกตัวหนึ่งนิสัยดี ร่าเริงสนุกสนาน ใจดี รักสงบ โอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จริงใจ มองโลกในแง่ดี และมีความหวังและเชื่อในส่วนดีของคนอื่นอยู่เสมอ"

"หลานรู้มั๊ยว่าการต่อสู้แบบนี้มีอยู่ในตัวหลานและมนุษย์ทุกคนเช่นกัน"

หลังจากหลานชายได้ฟังและครุ่นคิดอยู่สักพักจึงถามคุณปู่ว่า

"แล้วตัวไหนชนะ ล่ะครับคุณปู่"

ชายชราจึงตอบเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า

"ก้อ ตัวที่หลานให้อาหารแก่มันน่ะสิ"

ถ้าท้อเป็นเพียงถ่าน ถ้าผ่านจึงเป็นเพชร


ถ้าท้อเป็นเพียงถ่าน ถ้าผ่านจึงเป็นเพชร

สำหรับคนที่กำลังเหนื่อย หรือท้อแท้อ่ะน๊า..

เพชรมีค่ามากกว่าถ่านหลายล้านเท่า ทั้งๆที่เพชรเป็นธาตุคาร์บอนเหมือนกัน

ไม้ผ่านการอบการเผา ไม่นานก็กลายเป็นถ่าน

แต่เพชรผ่านความร้อน ไม่ต่ำกว่า 5,000 องศาฟาเรนไฮต์

ได้รับความกดดันมากกว่า 1 ล้านปอนด์ต่อตารางนิ้ว

ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งกลายเป็นเพชร

เพชรที่เป็นเครื่องประดับอันงดงาม
พร้อมๆกับเป็นของที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก

ถ้าท่านกำลังได้รับความกดดันอยู่ จงอดทน จงอดทน

ถ้าท่านกำลังถูกเคี่ยวถูกสับอยู่ ให้คิดว่าเพียงแค่นี้ว
จะทำให้เป้าหมายเราสั่นคลอนได้หรือ ?

ถ้าสถานการณ์กำลังบีบคั้น แสดงว่าชัยชนะกำลังรออยู่ข้างหน้า

ถ้ายังถูกโหมกระหน่ำอีกให้รู้ตัวว่า
ท่านกำลังใกล้จะเป็นเพชรเต็มที่แล้ว....

ในสถานการณ์เช่นนี้น หากหยุดคิดพิจารณาอย่างมีสติ
ย่อมจะเกิดปัญญาพบหนทางสว่างได้เสมอ

จงมุ่งมั่นอาจหาญสง่างาม เสมือนดั่งเพชร

แม้เพชรจะตกอยู่ในสภาวะทุกข์ยากลำบาก อ้างว้างและโดดเดี่ยว

แต่เพราะเพชรไม่เคยย่อท้อต่อสู้เรื่อยไป

ให้ถือว่าทุกอย่างเป็นบทเรียนและบทฝึกตัวเองเสมอ จนกาลเวลาผ่านไป

เพชรจึงภูมิใจในตัวของมันเอง และด้วยความอดทนถึงที่สุดนั่นเอง

เพชรจึงเป็นอัญมณีล้ำค่า ควรแก่การประดับมงกุฎของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่

จากอดีต... ปัจจุบัน....ตลอดไปในอนาคต

ดินสอกับปากกา


เมื่อ 100 ปีมาแล้วปากกาด้ามแรกก็ได้เกิดขี้น บนโต๊ะทำงานแห่งหนึ่ง

เจ้าดินสอไม้ตัวน้อยมองดูเจ้านายของมันด้วยความอาลัย
"ทำไมนายเปลี่ยนไป ไม่รักข้าเหมือนแต่ก่อน ไม่ใช้งานข้าล่ะ"

เจ้าปากกาซึ่งตอนนี้อยู่ในมือของนักธุรกิจชายผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้านายของดินสอไม้และปากกาด้วยมองเห็นเจ้าดินสอไม้ซึ่งหดหู่ใจอยู่ ก็พูดข่มทับเจ้าดินสอว่า
"นี่ เจ้าดินสอไม้ ก็เจ้าน่ะมันล้าสมัยแล้ว ไม่มีเจ้านายคนไหนอยากใช้งานเจ้า ในการเขียนหรอก ข้าน่ะมีทั้งความคมชัด เขียนลื่น ไม่มีวันไส้หักเหมือนตัวเจ้า เจ้านายจึงรักข้ามากกว่าเจ้าอย่างแน่นอน"

เมื่อเจ้าดินสอไม้ได้ยินเจ้าปากกาพูดเช่นนี้ จิตใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แล้วยิ่งทับทวีมากขึ้นไปอีก มันตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย โดยกลิ้งตัวเองให้หล่นจากโต๊ะทำงาน เมื่อหล่นจากโต๊ะทำงานมันก็รู้ตัวว่ามันยังมีชีวิตอยู่ ก็รู้ตัวว่าคงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้

เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานของนักธุรกิจผู้นั้น เขาก็เผลอทำเจ้าปากกาตกที่พื้น โดยไม่สนใจเก็บเช่นกัน ในตอนเย็นน้องชายของนักธุรกิจผู้นั้น เขามีอาชีพเป็นนักวาดภาพ ได้มาเจอเจ้าดินสอไม้ และปากกาหล่นบนพื้นทั้งคู่ เขาก็เก็บมันไปใช้

มาถึงตอนนี้ทุกท่านที่อ่านคงเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร ใช่แล้ว เจ้าดินสอไม้ที่ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่จากเจ้านายนักธุรกิจ กลับมีคุณค่ากับเจ้านายนักวาดภาพ

มันถูกใช้งานจนตัวมันสูญสลายไป แต่กลับได้ภาพที่สวยงาม ยังคงคุณค่าให้ผู้พบเห็นได้ชื่นชม ซึ่งมันมีองค์ประกอบในภาพนั้น

ส่วนเจ้าปากกาหลังจากที่ถูกนักวาดภาพเก็บไป มันก็อยู่แต่ในกล่องไม่เคยถูกหยิบมาใช้งานอีกเลย จนหมึกมันแข็งใช้งานไม่ได้ พอจะถูกใช้งานอีกที มันก็หมดอายุ เขียนไม่ออก แต่ตัวมันไม่สูญสลายไป ยังคงทิ้งร่างกายเอาไว้เป็นภาระต่อเจ้านาย มันจึงถูกทิ้งในถังขยะต่อไป


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ตัวเราย่อมมีคุณค่าเสมอ แต่ต้องให้ถูกกับงาน

Why ???


บอกกับตัวเองว่าจะเลิกทำบางอย่าง ...
... แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเลิกได้อย่างที่พูด

เคยคิดจะไว้ผมยาว อยากให้ยาวถึงกลางหลัง ...
... แต่ยาวไม่เท่าไหร่ก็ตัด เพราะรำคาญ

เคยคิดวางแผนจะทำโน่นทำนี่ให้กับชีวิตตัวเอง ...
... แต่ก็ไม่เคยทำได้ซักครั้ง

ชอบใครคนหนึ่ง รู้ว่ามาเป็นแฟนกันไม่ได้ ...
... แต่บางครั้งก็ยังแอบหวังอยู่เล็กน้อย

เหมือนจะรู้จักตัวเองดีกว่าใครๆ ...
... แต่บางครั้งต้องถามคนอื่นว่าเราเป็นยังไง

เหมือนจะเป็นตัวของตัวเองมาก ...
... แต่ที่จริงทุกสิ่งไม่ใช่เรา

รำคาญคนบางคน ...
... ทั้งที่เขาดีกับเราจะตาย

เหมือนจะรู้ใจ เข้าใจ ...
... แต่บางครั้งเหมือนไม่เป็นอย่างนั้น

อยากสวย ...
... ทำไมมันไม่สวย (ก็ไอ้กระจกเฮงซวย ส่องแล้วไม่สวยแบบเนี้ย)

บางครั้งอยากรอ ...
... แต่ก็ไม่อยากให้นานนัก

อยากบอกให้รู้ว่าคิดยังไง ...
... ก็ได้แต่เก็บไว้ข้างในไม่กล้าบอก

อยากทำอะไรดีๆให้ใครซักคน ...
... แต่เขาไม่อยู่ให้เราได้ทำอะไรให้แล้ว

อยากย้อนเวลากลับไปทำสิ่งดีๆ ...
... แต่เราไม่มีเครื่องย้อนเวลา

อยากได้ A ...
... แต่ขี้เกียจอ่านหนังสือ

อยากวางความเกลียด ...
... แต่พอเห็นมันแล้ววางไม่ลง

อยากเป็นคนที่ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็คิดถึง ...
... แต่ดันทำตัวให้คนอื่นเกลียด

ร้องขอความเห็นใจ ความรัก ความเอาใจใส่ ...
... แต่ไม่เคยดูว่าคนอื่นเขามีให้รึเปล่า

มีความรักให้คนอื่นเสมอ ...
... แต่ไม่เคยรักตัวเอง

บอกว่าอย่าบอกใคร ...
... แต่ก็บอกเองทุกที คนอื่นๆ เขาคงรู้กันหมดละมั้ง
.... มันเกิดขึ้นเรื่อยๆ และเกิดต่อไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุด

หากมีเพียง 100 คนบนโลกนี้


สิ่งที่คุณกำลังจะอ่านต่อไปนี้ได้มาจากอีเมล์ซึ่งภายหลังได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ

บนโลกใบนี้มีคนมากกว่าหกพันล้านคนถ้าย่อโลกเหลือเป็นหมู่บ้านที่มีคนอาศัยเพียง100คนมันจะเป็นอย่างไร
52คนเป็นผู้หญิง
48คนเป็นผู้ชาย

89คนเป็นคนรักต่างเพศ
11คนเป็นคนรักเพศเดียวกัน

30คนเป็นเด็ก
70คนเป็นผู้ใหญ่
และ7คนในจำนวนนี้แก่แล้ว

70คนไม่ใช่คนผิวขาว
30คนเป็นผิวขาว

61คนเป็นเอเชีย
12คนมาจากยุโรป
27คนมาจากที่อื่นๆ

ใน100คนมีคนนับถือศาสนาและพูดกันหลากหลายภาษาในเมื่อมีคนหลากหลายเราจึงต้องยอมรับเรียนรู้และเข้าใจเขาให้ได้
จาก100คนในหมู่บ้าน20คนอดอยากแร้นแค้นขณะที่1คนกำลังจะตาย แต่อีก15คนอ้วน....ถ้าดูทรัพสินของหมู่บ้าน 6คนมีถึง59เปอเซนกลุ่มนี้ล้วนมาจากอเมริกาทั้งสิ้นอีก74คนมีไว้39เปอเซนและ20คนเฉลี่ยกันคนละ2เปอเซน ถ้าคุณมีรถใช้แสดงว่าคุณเป็น1ใน10คนที่รวยที่สุด 75คนมีอาหารและแหล่งพักพิงกันลมกันแดดฝน แต่อีก25คนไม่มี ถ้าคุณสามารถพูดจา/แสดงออกตามความเชื่อและสามัญสำนึกของตนเองได้โดยไม่ต้องโดนคุกคาม กังขัง ทรมานหรือถูกฆาตกรรม นั้นแสดงว่าคุณยังโชคดีกว่าอีก48คนที่ทำไม่ได้

ถ้าคุณไม่ได้อยู่อย่างหวาดกลัวกับความตายจากโดนระเบิด/อาวุธ เหยียบกับระเบิดหรือโดนข่มขืน นั้นแสดงว่าคุณยังโชคดีกว่าอีก20คนในจำนวนข้อความที่อ่านมาทั้งหมดที่อ่านมาดูเหมือนจะน้อย แต่อย่าลืมสิว่าเราย่อจำนวนคนจากหกพันล้านคนเหลือเพียง100คนเท่านั้นถ้าคุณได้อ่านข้อความนี้แสดงว่าคุณยังมีชีวิตอยู่และคุณอ่านหนังสือได้ ดังนั้นจงพึงคิดไว้เถอะว่าคุณยังโชคดีกว่าใครหลายๆคนที่ด้อยโอกาสกว่าเรา จงใช้มันให้คุ้มค่าและถูกต้องเถอะ

Easy and Difficult



Easy is to get a place is someones address book.
Difficult is to get a place in someones heart.

Easy is to judge the mistakes of others
Difficult is to recognize our own mistakes

Easy is to talk without thinking
Difficult is to refrain the tongue

Easy is to hurt someone who loves us.
Difficult is to heal the wound...

Easy is to forgive others
Difficult is to ask for forgiveness

Easy is to set rules.
Difficult is to follow them...

Easy is to dream every night.
Difficult is to fight for a dream...

Easy is to show victory.
Difficult is to assume defeat with dignity...

Easy is to admire a full moon.
Difficult to see the other side...

Easy is to stumble with a stone.
Difficult is to get up...

Easy is to enjoy life every day.
Difficult to give its real value...

Easy is to promise something to someone.
Difficult is to fulfill that promise...

Easy is to say we love.
Difficult is to show it every day...

Easy is to criticize others.
Difficult is to improve oneself...

Easy is to make mistakes.
Difficult is to learn from them...

Easy is to weep for a lost love.
Difficult is to take care of it so not to lose it.

Easy is to think about improving.
Difficult is to stop thinking it and put it into action...

Easy is to think bad of others
Difficult is to give them the benefit of the doubt...

Easy is to receive
Difficult is to give

Easy to read this
Difficult to follow

Easy is keep the friendship with words
Difficult is to keep it with meanings

ข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง


ผมมีเรื่องๆ หนึ่งขออนุญาตนำมาเล่าให้ฟังเพื่อนชาวสถาปัตย์ท่านหนึ่งเป็นคนเล่าให้ผมฟังอีกที ผมฟังแล้วก็ชอบใจอยู่มากเพราะมันให้ข้อคิดทั้งคนเป็นนักเรียนและคนเป็นครูได้อย่างดีเรื่องนี้สนุกครับ ถึงจะมีสูตรมีศัพท์ทางวิทยาศาสตร์อยู่บ้างลองฟังดูครับ
--------------------------------------------
โจทย์ข้อหนึ่งในข้อสอบวิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนมีดังนึ้
"จงอธิบายว่าท่านจะใช้บารอมิเตอร์วัดความสูงของตึกระฟ้าได้อย่างไร"

รู้จักกันนะครับ ว่าบาร์รอมิเตอร์นี่ก็คือเครื่องมือวัดความกดอากาศนั่นเอง(อธิบายเพิ่มเติมก็คงต้องบอกว่า อากาศนั้นมันมีน้ำหนักหรือมีแรงกดนั่นและแรงกดของอากาศนั้นเมื่ออยู่ในระดับความสูงที่เปลี่ยนไปความกดอากาศก็เปลี่ยนไปด้วยนักศึกษาคนหนึ่งเขียนคำตอบลงไปว่า

"เอาเชือกยาวๆผูกกับบารอมิเตอร์แล้วหย่อนลงมาจากยอดตึกแล้วก็เอาความยาวเชือกบวกความสูงบารอมิเตอร์ก็จะได้ความสูงของตึก"

ฟังดูเป็นอย่างไรครับคำตอบนี้ ผมฟังครั้งแรกผมยังอมยิ้มเลยครับแต่อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบไม่นึกขันอย่างผมด้วยอาจารย์ตัดสินให้นักศึกษาคนนั้นสอบตกนักศึกษาผู้นั้นยืนยันต่ออาจารย์ที่ปรึกษาว่าคำตอบของเขาควรจะถูกต้องอย่างไม่มีข้อโต้แย้งและคำตอบของเขาก็สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ทางมหาวิทยาลัยจึงตั้งกรรมการชุดหนึ่งมาตัดสินเรื่องนี้และในที่สุดคณะกรรมการก็มีความเห็นตรงกันว่าคำตอบนั้นถูกต้องอย่างแน่นอนแต่เป็นคำตอบที่ไม่แสดงถึงความรู้ความสามารถทางฟิสิกส์ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นทางคณะกรรมการจึงให้เรียกนักศึกษาคนนั้นมาแล้วให้สอบข้อสอบข้อนั้นอีกครั้งหนึ่งต่อหน้า โดยให้เวลาเพียง 6 นาที เท่ากับเวลาในการสอบข้อสอบเดิมเพื่อหาคำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความรู้ทางด้านฟิสิกส์

หลังจากผ่านไป 3 นาที นักศึกษาคนนั้นก็ยังนั่งนิ่งอยู่กรรมการจึงเตือนว่า เวลาผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้วจะไม่ตอบหรืออย่างไรนักศึกษาหัวรั้นจึงตอบว่า เขามีคำตอบมากมายที่เกี่ยวกับฟิสิกส์แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้คำตอบไหนดีและเมื่อได้รับคำเตือนอีกครั้งนักศึกษาจึงเขียนคำตอบลงไปดังนี้

ให้เอาบารอมิเตอร์ขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกและทิ้งลงมาจับเวลาจนถึงพื้น,ความสูงของตึกหาได้จากสูตร H=0.5g*t กำลัง 2

หรือถ้าแดดแรงพอให้วัดความสูงบารอมิเตอร์แล้วก็วางบารอมิเตอร์ให้ตั้งฉากพื้น แล้ววัดความยาวของเงาบารอมอเตอร์จากนั้นก็วัดความยาวของเงาตึก แล้วคิดด้วยตรีโกณมิติก็จะได้ความสูงของตึกโดยไม่ต้องขึ้นไปบนตึกด้วยซ้ำ

หรือถ้าเกิดอยากใช้ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์มากกว่านี้ก็เอาเชือกเส้นสั้นๆ มาผูกกะบารอมิเตอร์แล้วแกว่งเหมือนลูกตุ้ม ตอนแรกก็แกว่งระดับพื้นดิน แล้วก็ไปแกว่งอีกทีบนดาดฟ้า ความสูงของตึกจะหาได้จาก ความแตกต่างของคาบการแกว่งเนื่องจากความแตกต่างของแรงดึดดูดจากจุดศูนย์กลางของมวล คำนวณจาก T = 2 พาย กำลัง 2 รากที่ 2 ของ l/g

ถ้าตึกมีบันไดหนีไฟก็ง่ายๆก็เดินขึ้นไปเอาบารอมิเตอร์ทาบแล้วก็ทำเครื่องหมายไปเรื่อยๆจนถึงยอดตึกนับไว้คูณด้วยความสูงของบารอมิเตอร์ก็ได้ความสูงตึก

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่น่าเบื่อและยึดถือตามแบบแผนจำเจซ้ำซากคุณก็เอาบารอมิเตอร์วัดความดันอากาศที่พื้นและที่ยอดตึก คำนวณความแตกต่างของความดันก็จะได้ความสูง

ส่วนวิธีสุดท้ายง่ายและตรงไปตรงมาก็คือไปเคาะประตูห้องภารโรง แล้วบอกว่า อยากได้บารอมิเตอร์สวยๆ ใหม่เอี่ยมสักอันไหม ช่วยบอกความสูงของตึกให้ผมทีแล้วผมจะยกให้

นักศึกษาคนนั้นคือ นีล โบร์
ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีค.ศ.1922

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ยิ่งกว่าน้ำใจ


คืนนั้นฝนตก อากาศหนาวเย็นเหลือเกิน ขณะที่ฉันกำลังยืนรอรถประจำทางอยู่คนเดียว รถประจำทางคันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอดตรงป้ายที่ดิฉันยืนอยู่หญิงชราคนหนึ่งค่อยๆ ตะเกียกตะกายลงจากรถแล้วเดินตรงมาทางที่ดิฉันยืนอยู่อย่างเชื่องช้า ….

“ แม่หนู …. รถประจำทางคันต่อไป จะมาถึงเมื่อไหร่จ๊ะ ? …..”
หญิงชราผู้นั้นถามดิฉัน ดิฉันจึงถามแกว่า

“ แล้วคุณยายจะไปรถสายไหนล่ะคะ ”

พอแกบอกดิฉันก็อุทานเสียงดังลั่น

“ อ้าว ….. ก็คุณยายเพิ่งลงมาจากรถคันนั้นเมื่อกี้นี่เองนี่คะ ”

“ เอ้อ …..” หญิงชราตอบตะกุกตะกักอย่างอายๆ
“ คือว่า ...บนรถคันเมื่อกี้นี้มีชายหนุ่มพิการคนหนึ่งขึ้นมา แต่ไม่มีใครลุกให้เขานั่งเลยยายรู้ว่าถ้าคนแก่ๆอย่างยายลุกให้เขานั่งเขาคงจะอายแน่ๆยายเลยทำเป็นว่าจะลงเสียที่นี่พอยายกดกริ่งให้รถจอดเขาก็เดินมานั่งตรงที่ยายได้โดยไม่ต้องอึดอัดใจส่วนยายก็ … เอ้อ …… รถประจำทางมันมีเสมอไม่ใช่หรือจ๊ะ แม่หนู …….”

ถ้าคุณกำลังท้อแท้...ลองอ่านนี้ดู


ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนที่ตายหมดลม

ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา

ถ้าตังค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา
ถ้าชีวิตแย่ . . .มองคนที่แย่ยิ่งกว่า

อย่ามองแต่ฟ้า . . .ที่สูงเกินตาประจักษ์
ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก
เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิชีวิตแห่งตน

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คนสามคน


ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง



หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า
“ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลยฮือ ฮือ”

หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า
“เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ “
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา

“คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายบางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยาก เป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ”


“มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้”


“อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนีทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร”


“สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบนั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล”


“แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ “
ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้ว เริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา


“เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม”


“เข้าใจครับหลวงตา” เด็กน้อยยิ้มมีความสุขอีกครั้ง

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คุณรู้ไหมว่า


Did you know that those who appear to be very strong in heart, are real weak and most susceptible?
คุณรู้ไหมว่าคนที่มองภายนอกดูจิตใจเข้มแข็งมากๆ
แท้จริงแล้วเขานั้นแสนจะอ่อนแอและอ่อนไหว เป็นที่สุด


Did you know that those who spend their time protecting others are the ones that really need someone to protect them?
คุณรู้ไหมว่าคนที่ใช้เวลาของเขาปกป้องผู้อื่นนั้น
เป็นคนที่ต้องการใครสักคนที่จะคอยปกป้องเขาเสียเหลือเกิน


Did you know that the three most difficult things to say are: I love you, Sorry and help me
คุณรู้ไหมว่าคำที่พูดยากมากที่สุด 3 คำ คือ ฉันรักเธอ ขอโทษ และ
ช่วยฉันด้วย


Did you know that those who dress in red are more confident in themselves?
คุณรู้ไหมว่าคนที่แต่งกายด้วยชุดสีแดง เป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากกว่าคนอื่น


Did you know that those who dress in yellow are those that enjoy their beauty?
คุณรู้ไหมว่าคนที่แต่งกายด้วยชุดสีเหลืองเป็นคนที่เพลิดเพลินกับความสวยความงามของเขา


Did you know that those who dress in black, are those who want to be unnoticed and need your help and understanding?
คุณรู้ไหมว่าคนที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ เป็นคนที่ไม่ต้องการให้ใครคอยสังเกตและต้องการความ ช่วยเหลือและความเข้าใจจากคุณ


Did you know that when you help someone, the help is returned in two folds?
คุณรู้ไหมว่าเมื่อคุณช่วยใครสักคน ความช่วยเหลือนั้นจะคืนกลับมาเป็น 2 เท่า


Did you know that it's easier to say what you feel in writing than saying it to someone in the face? But did you know that it has more value when you say it to their face?
คุณรู้ไหมว่าช่างเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกกล่าวความรู้สึกด้วยการเขียนแทนที่จะบอกด้วยวาจากับใครสักคนต่อหน้า แต่คุณรู้ไหมว่ามันจะมีค่ายิ่งกว่าเมื่อคุณได้บอกความรู้สึกนั้นด้วยวาจาต่อหน้าเขา


Did you know that if you ask for something in faith, your wishes are granted?
คุณรู้หรือไม่ว่า ถ้าคุณร้องขอบางสิ่งด้วยความศรัทธาคุณจะได้รับในสิ่งที่ปรารถนา


Did you know that you can make your dreams come true, like falling in love, becoming rich, staying healthy, if you ask for it by faith, and if you really knew, you'd be surprised by what you could do.
คุณรู้หรือไม่ว่าคุณสามารถทำฝันให้เป็นจริงได้ เช่น การตกหลุมรักกลายเป็นคนร่ำรวย อยู่อย่างมี สุขภาพแข็งแรง ถ้าคุณร้องขอในสิ่งนั้นด้วยความศรัทธา และถ้าคุณรู้อยู่แก่ใจคุณจะรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่คุณสามารถทำได้


But don't believe everything I tell you, until you try it for yourself, if you know someone that is in need of something that I mentioned, and you know that you can help, you'll see that it will be returned in two-fold.
แต่อย่าเชื่อในทุกอย่างที่ฉันบอก จนกว่าคุณจะได้ลองปฏิบัติดูด้วยตัวคุณเองถ้าคุณรู้จักใครสักคนที่ต้องการบ้างสิ่งอย่างมากดังที่ฉันได้บอกไปแล้วนั้นและคุณรู้ว่าคุณสามารถช่วยเขาได้คุณจะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นจะตอบแทนกลับคืนมาอย่างทวีคูณ


Today, the ball of FRIENDSHIP is in your court, send this to those who truly are your friends (including me if I am one). Also, do not feel bad if no one sends this back to you in the end, you'll find out that you'll get to keep the ball for other people want more.
วันนี้ลูกบอลแห่งมิตรภาพอยู่ในสนามของคุณแล้วส่งมันออกไปยังคนเหล่านั้นซึ่งเป็นเพื่อนแท้ของคุณ และอย่ารู้สึกแย่ถ้าท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครส่งมันกลับมาหาคุณคุณจะพบว่าคุณจะต้องรักษาลูกบอลไว้เช่นนั้นเพราะยังมีคนที่ต้องการมันอยู่อีกมาก

ข้อคิดจากถีงน้ำสองใบ


ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิและสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถังแต่ด้วยระยะทางอันยาวไกลจากลำธารกลับสู่บ้านจึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเองมันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

หลังจากเวลา 2 ปี… ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า 'ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้าที่ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน'

คนตักน้ำตอบว่า 'เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้าแต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่....

ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้าและทุกวันที่เราเดินกลับ...
เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้นเป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าวถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว..เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้'

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง...แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้นอาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้....สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น..
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

เหตุผลที่เราควรรักแม่มากกว่าแฟน


เหตุผลที่เราควรรักแม่มากกว่ารักแฟน
ถ้าไม่มีแม่ แฟนเราก็จะไม่มีคนรักดีๆ อย่างนี้
...เผลอๆ เธออาจต้องอยู่เป็นโสด

แม่ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก
...เพราะเราเต็มใจรักแม่โดยไม่ต้องหลง

แม่อาจเคยตีเราให้เจ็บตัว
...แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ



แม่ส่งเสียเรา
...แต่เราต้องส่งเสียแฟน

แม่ไม่เคยบอกเลิก
...แต่แฟน - ฮือ ฮือ ฮือ

แม่เป็นแบงค์ส่วนตัว
...ที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ยและไม่ค่อยทวงคืน

แม่เห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก
...โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง

แม่เป็นคนที่เห็นเราดีกว่าแฟนของแม่เสมอ

ขอหอมแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแฟน

แม่ยอมตัดสะดือตัวเองเพื่อให้เราเกิดมา

แม่สอนให้เราพูดได้
...เพื่อจะไปบอกรักแฟนตอนเราโต (แย่จัง…)

แฟนไม่ได้มีนม (สดจากเต้า) ให้กินฟรีเหมือนแม่นี่หว่า

แม่ยอมเป็นยัยอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน
...เพื่อให้เราอาศัยอยู่ข้างใน

ฯฯฯฯฯฯฯฯฯลฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯฯ

พ่อครับ...ผมรักพ่อ


เช้าวันศุกร์ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง อีกสองวันก็ถึงวันที่ผมรอคอยและเตรียมตัวมาตลอด 2 ปี ผมเรียนพิเศษตลอด 2 ปี ก็เพื่อจุดหมายเดียวที่พ่อหวังไว้ ผมต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อให้ได้ ผมใช้เวลาวันละเกือบสิบชั่วโมง ใน 2 เดือนสุดท้าย เพื่อเตรียมตัวให้เหนือกว่าคู่แข่ง ช่วง 2 เดือนนี่เองที่ผมต้องนั่งทำแบบฝึกหัดจนถึงตี 3 ทุกวัน และก็ทุกวัน พ่อผมจะหากิจกรรมส่วนตัวของเขามานั่งทำเป็นเพื่อน เรานั่งอยู่ด้วยกันจนเกือบเช้าทุกวัน ทุกๆคืน ผมจะมีไมโลร้อนๆมาวางอยู่ข้างหน้า พร้อมๆกับมือของพ่อที่จะคอยตบบ่าให้กำลังใจ คอยเตือนว่า "นอนได้แล้วหละลูก อย่าเครียดเกินไปเลย"

ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงนั้นลอดหูเข้ามาเลย มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยทุกวัน จนบางทีก็ออกจะรำคาญที่ถูกเตือนให้นอนเมื่อคืนก็เป็นเหมือนทุกคืน พ่อยังคงชงไมโลมาให้ แต่แปลกหน่อยตรงที่เมื่อคืนพ่อคุยกับแม่จนดึก แล้วค่อยมานั่งเป็นเพื่อนผม วันนี้วันศุกร์ อีกสองวันเอง ผมเดินสวนพ่อเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่าอยากจะพูดอะไรด้วย แต่ก็ไม่ได้พูด ผมเดินไปแปรงฟันและอาบน้ำ ตอนเดินออกมาพ่อก็ออกไปทำงานเสียแล้ว วันนี้รู้สึกดีใจเป็นพิเศษ ผมทำคะแนนจากข้อสอบปีเก่าๆได้คะแนนสูงมากกว่าที่ประเมินไว้ ประมาณสิบเอ็ดโมง ผมทำข้อสอบชุดสุดท้ายเสร็จ และก็ตั้งใจว่าถัดจากนี้ไป 2 วัน จะเป็นวันพักผ่อน เพราะไม่ต้องการให้เครียดก่อนวันสอบมาถึง ผมทำข้อสอบอยู่ชั้นสองของบ้าน น้องชายก็ขึ้นมาบอกว่าพ่อแวะเอาอาหารเข้ามาให้เรา ความรู้สึกตอนนั้นผมอยากจะลงไปบอกพ่อว่าทำคะแนนได้ดี แต่ก็คิดว่าอีกซักเดี๋ยวค่อยลงไป พอลงไปอีกทีพ่อก็ออกไปทำธุระเสียแล้ว ผมนั่งดูทีวีอยู่จนกระทั่งบ่ายสามโมง มีโทรศัพท์ดังขึ้น ผมเดินไปรับ เสียงของผู้หญิงลอดมาตามสาย ผมจับใจความได้ว่า เค้าพูดถึงชื่อพ่อผม และก็บอกว่ารถคว่ำเพราะหักหลบเด็กวิ่งข้ามถนน อาการไม่หนักนัก ผมเขียนโน๊ตไว้บนโต๊ะ แล้วรีบไปโรงพยาบาล ในใจตอนนั้นคิดว่าไปถึงพ่อคงใส่เฝือกอะไรแค่นั้น พอไปถึงอาผมก็ไปถึงพร้อมกันพอดี หมอนำเอกสารอนุญาติให้ผ่าตัดมาให้เซ็นต์ แล้วก็บอกว่าตอนนี้อยู่ห้อง X-Ray อาการไม่ค่อยดี เลือดคั่งในสมองต้องผ่าตัดด่วน แล้วเค้าก็เอาตัวพ่อเค้าห้องผ่าตัด ผมไม่ได้เจอพ่อเลย ตอนเย็นแม่มา ก็สั่งให้เรากลับบ้าน มีอะไรจะโทรไปบอก

เช้าวันเสาร์แม่โทรมาบอกว่าตอนนี้พ่ออาการดีขึ้นแล้ว อยู่ห้อง ICU แต่ยังไม่ได้สติ ผมตัดสินใจบอกแม่ว่าวันจันทร์ผมไม่เข้าสอบ ผมอยากเฝ้าอาการพ่อ แม่รีบกลับมาบ้านโดยให้อาเฝ้าที่โรงพยาบาลแทน แล้วก็บอกกับผมว่ารู้รึเปล่าว่าพ่อเค้าอยากให้ผมสอบติดแค่ไหน
แล้ววันนี้ที่เค้ารีบออกไป รู้ไหมว่าเค้าไปไหน ผมบอกว่า "ไม่รู้" แม่ขอร้องให้ผมไปเข้าสอบ แล้วแม่ก็บอกว่า

"พ่อเค้ากำลังจะไปบนพระพรหม ขอให้ลูกสอบติด แต่รถคว่ำเสียก่อน" วันนั้นผมบอกแม่ว่าผมกลัวว่าพ่อได้สติขึ้นมาแล้วจะรู้ว่าผมไม่เข้าสอบ และจะเสียใจ ผมตกลงเข้าสอบ ผมหลบเข้าห้องน้ำ ยืนนิ่งแล้วก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าต้องเจอกับปัญหาที่หนักมาก ผมร้องไห้อยู่นานมาก ............
วันอาทิตย์แม่โทรมาบอกว่าพ่อได้สติแล้ว แต่ยังไม่ให้ผมไปเยี่ยม บอกแค่ว่าขอให้สอบให้เสร็จก่อน ทางนี้แม่จะดูแลเอง ผมสบายใจขึ้น คิดอย่างเดียวว่าพ่อจะต้องดีใจถ้ารู้ว่าผมสอบติด ผมมั่นใจมาก ทุกๆวันอาการของพ่อดีขึ้นเรื่อยๆ แต่แม่ก็ไม่ยอมให้ผมไปเยี่ยม

ผมและน้องเข้าสอบพร้อมกันอยู่ 5 วันจนเสร็จ
ที่แรกที่ผมและน้องไป คือโรงพยาบาลทั้งชุดนักเรียนแบบนั้นแหละ ผมไปถึงแม่และอาก็ยังคงอยู่หน้าไอซียู แม่ถามว่าสอบเสร็จแล้วเหรอ ผมบอกว่าเสร็จแล้ว ทำข้อสอบได้ไม่ดีนัก แต่มั่นใจว่าน่าจะติดที่ไหนสักแห่ง แม่ให้เข้าไปเยี่ยมพ่อ พอผมเห็นพ่อ ผมยืนตัวแข็งเดินต่อเข้าไปไม่ได้ พ่อผมถูกโกนศรีษะเพื่อผ่าตัด พ่อยังไม่ฟื้น แม่ขอโทษ แม่บอกว่าอาการจริงๆดีขึ้น แต่ยังไม่รู้สึกตัว ผมเดินเข้าไปกุมมือพ่อ ผมเริ่มน้ำตาคลอ แต่ก็บอกกับพ่อว่าผมสอบเสร็จแล้ว รีบตื่นมาดูผลสอบด้วยกันนะ ทุกคนเห็นว่านิ้วมือพ่อขยับได้ นิ้วมือเขาขยับได้จริงๆ นางพยาบาลเดินเข้ามาดูอาการ แล้วก็บอกกับผมว่าอย่างนี้คงไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว วันรุ่งขึ้นตอนหกโมงเช้า แม่ไปถึงโรงพยาบาล โทรกลับมาบ้านแต่เช้า บอกว่าข้างเตียงบอกว่าเมื่อคืนเห็นพ่อลืมตามองไปรอบๆ แม่ดีใจมากผมบอกว่าผมจะรีบไปก่อนแปดโมง

........... ซักเจ็ดโมงนิดๆ แม่โทรมาอีกครั้ง
แม่บอกว่าให้เอาเสื้อสูทของพ่อไปด้วยตอนนั้นผมร้องไห้ออกมาทันที ผมรู้ว่าแม่หมายถึงอะไร ผมรู้ว่าผมได้สูญเสียคนที่ผมรักที่สุดในชีวิตไปแล้ว ผมไม่มีโอกาสจะได้คุยกับพ่ออีกแล้ว พ่อรอจนกระทั่งผมสอบเสร็จ ........
พ่อรอจนกระทั่งลูกของพ่อเดินไปบอกว่าสอบได้แล้วพ่อถึงไปอย่างสงบ ...........
ครั้งเดียวในชีวิตที่ผมร้องไห้มากที่สุด
ผมจะไม่มีใครชงไมโลมาให้อีกแล้ว
ผมจะไม่มีใครมาคอยตบบ่าให้กำลังใจ
ผมจะไม่มีวันได้พูดว่ารักพ่อ........... ทั้งๆที่เค้าคือคนที่ผมรักที่สุด
วันนี้เวลาผ่านไปเกือบสิบปี สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำให้ผมเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้
คือวันศุกร์เมื่อสิบปีที่แล้ว ผมเดินสวนกับพ่อโดยที่ไม่ได้คุยกับพ่อซักคำ ผมควรจะได้พูดว่าผมรักพ่อมากแค่ไหน แต่ผมก็เดินสวนไปเฉยๆ ทุกวันนี้ผมไม่เคยหยุดที่จะคิดเมื่อเวลาบอกคนที่ผมรักว่าผมรักเค้ามากแค่ไหน ผมจะไม่ยอมเสียใจกับสิ่งที่ผมไม่ได้ทำอีก …….
"พ่อครับ...ผมรักพ่อ'

เกาะแห่งความรู้สึก


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเกาะแห่งหนึ่งซึ่งรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดอาศัยอยู่ด้วยกัน ความสุข ความเศร้า ความรู้ และอื่นๆ รวมทั้ง ความรักวันหนึ่งมีประกาศไปยังความรู้สึกทั้งหมดว่าเกาะกำลังจะจม ดังนั้น ทั้งหมดจึงได้เตรียมเรือเพื่อที่จะหนีออกจากเกาะ ความรักเท่านั้นที่ตัดสินใจอยู่บนเกาะความรักต้องการที่จะอยู่จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายเมื่อเกาะเกือบจะจมแล้วความรักจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือ…ความรวยแล่นเรือผ่าน ความรวยตอบว่า
"ไม่ได้หรอกฉันรับเธอไม่ได้หรอกเพราะเรือฉันน่ะเต็มไปด้วยทองและเงินแล้วมันไม่มีที่ให้คุณ "

ความรักตัดสินใจจะถามความเห็นแก่ตัวซึ่งผ่านมาเหมือนกันด้วย
"ความเห็นแก่ตัวช่วยฉันด้วย "
"ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอกความรัก คุณน่ะทั้งเปียกอาจจะทำให้เรือฉันเปียกด้วย "

ความเศร้าได้พายเรือใกล้เข้ามาความรักก็ได้เอ่ยขอความช่วยเหลืออีก
"ความเศร้าอนุญาตให้ฉันขึ้นเรือคุณนะ "
"โอ้ความรักฉันกำลังเศร้ามากเลยฉันต้องการอยู่คนเดียวขอโทษนะ "

ความสุขได้ผ่านความรักไปเหมือนกันแต่เขาไม่ได้ยินแม้เสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือของความรักเพราะมัวแต่กำลังสุขทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
"มานี่ความรักฉันจะรับคุณไปเอง "

เสียงนั้นเป็นของคนแก่คนหนึ่งความรักรู้สึกขอบคุณและดีใจเป็นอย่างมากจนลืมถามชื่อว่าใครคือผู้ใจดีผู้นั้นเมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินที่แห้ง คนแก่ก็จากไปตามทางของเขาความรักนึกขึ้นมาได้ว่าลืมถามชื่อชายแก่คนนั้นความรักจึงถามความรู้และคนแก่คนอื่น ๆ ….

"ใครเหรอที่เป็นคนช่วยฉัน "
ความรู้ตอบอย่างภาคภูมใจในความรอบรู้ของตนเองว่า " เวลา "
ความรักถามต่อว่า
"แต่ทำไมเวลาถึงช่วยฉันละ "
ความรู้ยิ้มในความรอบรู้ของตัวเองแล้วตอบความรักว่า
"ก็เพราะว่าเพียงเวลาเท่านั้นที่เข้าใจว่า.....ความรักยิ่งใหญ่แค่ไหน..."

แต่ว่า...มีสิ่งหนึ่งที่เราอาจลืมเลือนไปถ้าหากจะไม่กล่าวถึงเสียเลยขณะที่ความรักกำลังมองหาคนช่วยออกจากเกาะความรักคงยุ่งอยู่กับการมองหาผู้อื่น..จนลืมมองมาที่ความเป็นเพื่อน...ซึ่งเลือกที่จะอยู่เคียงข้างความรักตั้งแต่แรกแล้วเพราะความเคยชินจึงทำให้ความรักมองไม่เห็นความสำคัญของความเป็นเพื่อน...ในขณะที่ความรักจากไปพร้อมกับเวลาความเป็นเพื่อนรู้สึกดีใจมากที่ความรักปลอดภัยและแม้จะต้องห่างกันแต่ความเป็นเพื่อนกลับรู้สึกเป็นสุขเพราะความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าถึงแม้เกาะนี้จะจมลงไปชั่วนิรันดร์แต่ความเป็นเพื่อนจะยังเป็นอมตะในใจของความรักตลอดไป
แม้จะไม่ยิ่งใหญ่.....แต่จะคงอยู่เคียงข้างความรักเสมอ
ความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่จากไปเหมือนกาลเวลา
ความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่รังเกียจกันเหมือนความเห็นแก่ตัว
ความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่แบ่งชั้นกันเหมือนความรวย
ความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่อ้างว้างเหมือนความเศร้า
และความเป็นเพื่อนรู้ดีว่าตน...ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนความสุข
ทั้งนี้ก็เพราะ... " ความเป็นเพื่อนจะอยู่ในใจตลอดไป "

เพียงความทรงจำ


ตัวหนังสือสามารถบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปได้ดีกว่าคำพูดมากมายนักจึงไม่น่าแปลกที่ฉันจะหลงใหลในเสน่ห์ของตัวอักษรมาหลายปีดีดักแล้วฉันมักจะเรียกตัวเองว่า "คนเขียนหนังสือ"อยู่เสมอไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันคงเพราะว่าฉันเขียนหนังสือไม่ดีพอที่จะเรียกตัวเองว่า"กวี" ได้ล่ะมั้ง โลกของตัวอักษรสวยงามนักแค่มีปากกาสักด้าม เศษกระดาษสักแผ่นและมีเขาคนนั้นเป็นพระเอกของเรื่องสักคนก็คงเพียงพอ

เรื่องราวความรักของฉันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าในสมุดบันทึกประจำวันของฉันมีชื่อเขาตั้งแต่วันมอบตัวทีเดียว…คงเพราะความบังเอิญที่ทำให้เราสองคนมักจะได้ทำอะไรด้วยกันเสมอได้เล่นละครด้วยกันได้นั่งคู่กันในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง…แต่เรากลับไม่ได้ใกล้ชิดกันเท่าที่ควรไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

…จนวันหนึ่ง…
"มีนอยากวาดรูปเหรอ เราสอนให้ก็ได้นะ"

นี่แหละประโยคสำคัญที่ทำให้เราสองคนได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้นเขารีบกระวีกระวาดไปหากระดาษกับดินสอมาวางไว้ตรงหน้าฉัน
ไม่รู้ว่าวิญญาณครูไปสิงอยู่กับชายคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเขาลากเส้นเป็นตัวอย่างแล้วให้ฉันลองทำตามไปช้าๆลมที่พัดแรงทำให้ผมของฉันปลิวจนยุ่งไปหมด

"ขอโทษนะ" เขาพูดแล้วเอื้อมมือมาหยิบปอยผมของฉันที่ปลิวเพื่อเหน็บหูของฉันไว้อย่างเดิม
"ขอบคุณนะเฟิร์ส" ฉันพูดเขินๆ ใบหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ

เขายิ้มบางๆเหมือนกับจะบอกว่าไม่เป็นไรหลังจากทนนั่งดูฉันลากเส้นที่ดูไม่ได้เอาเสียเลยมาเป็นเวลานานเขาก็ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างหดหู่

"แย่กว่าเราตอนฝึกวาดใหม่ๆซะอีก" เขาทำท่าทางเหมือนครูที่กำลังดุนักเรียนอยู่ยังไงยังงั้น
"ก็คนมันไม่เก่งนี่นาไม่ต้องสอนก็ได้นะ"ฉันบ่นเบาๆแล้ววางดินสอลงแรงๆ
"เอาเหอะฝึกต่อไปละกัน วาดรูปน่ะไม่ยากหรอกถ้ามีคนสอนดีๆอย่างเรา"เขาบอกยิ้มๆ
ฉันส่ายหน้ากับความหลงตัวเองของเขา…หลงตัวเองจริงๆนะนายเฟิร์สจอมเก๊ก…

เราสนิทกันมากขึ้นทุกที…สนิทท่ามกลางเสียงแซวและวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนที่ไม่เว้นแม้แต่ในคาบเรียน
"สวีทกันจังเลยคู่นี้"เสียงเพื่อนๆที่ดังมาจากด้านหลังห้องทำให้ฉันต้องวางดินสอลงอายๆ
"เฮ้ย! เธออย่าแซวซิเราไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักหน่อย"เฟิร์สแก้ตัวให้ แต่เพื่อนๆ ทำสีหน้าไม่เชื่อแต่พอเห็นหน้าตาเอาเรื่องของฉัน
ก็เลยจำใจต้องสงบปากสงบคำแล้วเดินหนีไปคุยกันที่อื่นแทน

"ช่างเขาเหอะ"ฉันพูดเบาๆแล้วก้มหน้าก้มตาวาดรูปต่อไป
"มีน…เรามีอะไรจะบอก" เขาพูดท่าทางเขินๆ
"อารายเหรออออ"ฉันเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดลากเสียงยาว
"เราชอบผู้หญิงคนหนึ่งนะ" สีหน้าอายๆของเขาทำให้ฉันแอบหวังอยู่ลึกๆว่านี่คงจะเป็นวิธีการบอกรักทางอ้อมของเขา
แต่…. "คนนั้นไง" ว่าแล้วเขาก็ชี้ไปที่เพื่อนร่วมสถาบันคนหนึ่งที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูฉันหันไปยิ้มล้อบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลยจนนิดเดียวอาจจะเป็นเพราะว่าฉันไม่เคยหวังให้เขามารักแค่รู้สึกรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวก็พอเสียงออดบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้นฉันวางดินสอลงโดยอัตโนมัติ

"เรากลับแล้วนะ" ฉันบอกเบาๆ
"ขอบคุณสำหรับการสอนวาดรูปและทุกๆอย่างนะ"
"มีนพูดเหมือนสั่งลาเลย" เขาพูดติดตลก
"อย่างกับเราจะไม่ได้สอนมีนอีกอย่างนั้นแหละ"
"ใครจะไปรู้ล่ะ...ชีวิตมันไม่แน่หรอกเฟิร์ส" ฉันพูดทีเล่นทีจริงแล้วเดินไปปิดกระจกและประตูห้องเรียนเขาเดินมาช่วยอีกแรงหนึ่ง
"วันเสาร์เจอกันที่เรียนพิเศษแล้วกันนะ บ๊ายบาย" เขาบอกลาแล้วโบกมือให้ ฉันยิ้มรับแล้วโบกมือตอบไป
"กลับบ้านดีๆนะจ้ะหนูมีน" เสียงตะโกนของเขาที่ดังตามหลังมาทำให้ฉันแอบอมยิ้มบางๆอย่างมีความสุข

ฉันนั่งคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเขานับตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน ตลอดเส้นทางกลับบ้านไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายที่แสนจะธรรมดาคนนี้จะกลายมาเป็นคนสำคัญของหัวใจถึงจะรู้ว่าเขามีคนที่เขาชอบอยู่แล้วแต่นั่นก็ไม่สำคัญอะไรเพราะฉันก็ยังคงมีความสุขที่จะรักเขาที่จะได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของเขามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันคนนี้แล้วฉันหยิบภาพเหมือนของฉันที่เขาวาดให้ตอนวันเกิดขึ้นมาดู

"สุขสันต์วันเกิดนะครับ"
ฉันยังจำเสียงใสๆของเขาที่บอกตอนเช้าตรู่ในวันสำคัญของฉัน
"มีความสุขมากๆนะครับมีน"
รอยยิ้มจริงใจของเขาในวันนั้นยังบันทึกอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอมา
….ไม่เคยลบเลือน

"โครมมมมมมม!!!!!!" เสียงดังขึ้นที่ถนนสายหนึ่งบรรดาไทยมุงต่างพากันมามุงดูเหตุการณ์รถคว่ำร่างของหญิงสาวคนหนึ่งถูกหามออกมากระดาษวาดเขียนตกลงมาจากมือที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดของเธอชายแก่คนหนึ่งหยิบขึ้นมาดูเห็นหยดเลือดเปรอะไปทั่วแผ่นกระดาษนั้นแต่ก็พอจะมองเห็นลางๆ ว่าเป็นภาพวาดของหญิงสาวที่กำลังยิ้มสดใสในชุดนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดัง
มีลายมือที่เขียนไว้ใต้ภาพอย่างสวยงามว่า
"เพียงความทรงจำ…เฟิร์ส"
ชายแก่คนนั้นทิ้งภาพไว้ที่เดิมอย่างไม่ใคร่สนใจใยดีนักลมเริ่มพัดกระหน่ำแรงขึ้นเรื่อยๆจนทำให้กระดาษแผ่นนั้นปลิวตกลงไปบริเวณลำคลองริมถนนและค่อยๆจมหายลงไปใต้ผืนน้ำนั้น…

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - -

ผมได้สมุดเล่มนี้มาจากเพื่อนสนิทของเธอ…ผมเลยขอเขียนเรื่องนี้ให้จบด้วยมือของผมแทน
เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมาผมไปเรียนพิเศษก็นึกแปลกใจอยู่ตะหงิดๆว่าทำไมเธอถึงไม่มาเรียนเพราะปกติเธอไม่ใคร่จะชอบหยุดเรียนนัก
ก็บังเอิญผมไปพบเพื่อนสนิทของเธอเข้าพอดิบพอดี

"เฟิร์ส…รู้เรื่องมีนหรือยัง" เขาถามผมทันทีที่พบกัน
สีหน้าของเขามีแววเศร้าๆปรากฏอยู่ตาก็ดูบวมแดงผิดปกติ

"ยังครับ มีนทำไมเหรอ" ผมถามยิ้มๆเธอก็คงไม่สบายแต่อาจจะหนักหน่อยถึงยอมขาดเรียนวันนี้…ผมคิด
"มีนรถคว่ำ ตอนนี้อยู่ห้อง ICU โรงพยาบาล…………." เขาบอกผมอึ้งไปสักพักใหญ่ๆ

พอได้สติอีกทีก็มายืนอยู่หน้าห้อง ICU โรงพยาบาลแห่งหนึ่งข้างๆเพื่อนสนิทของเธอคนเดิมเขาจัดการเป็นธุระไถ่ถามพยาบาลถึงเตียงของเธอเพราะไม่เห็นเธออยู่ที่เตียงเดิม

"เสียใจด้วยนะคะ คุณมีนาหัวใจล้มเหลวเมื่อ 15 นาทีที่แล้วค่ะ"
หูผมอื้อไปหมดจนไม่ได้ยินเสียงพยาบาลที่พูดอธิบายเรื่องราวต่อจากนั้นถ้าจะถามผมว่าวินาทีนั้นผมรู้สึกเช่นไรผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันรู้เพียงแต่ว่าน้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาท่วมใบหน้าของผมตั้งแต่ได้รับรู้ว่า
........"เธออจากไปแล้ว"........

ผมอ่านบันทึกเล่มนี้หลังจากที่ร่างของเธอฌาปนกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วผมเพิ่งรู้ว่าเธอรักผม…
แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้เลยว่าคำพูดที่ผมพร่ำบอกกับเธออยู่บ่อยครั้งว่า "รักกับชอบแตกต่างกัน"
มันคือสิ่งที่ผมอยากให้เธอรับรู้ผู้หญิงคนที่ผมเคยชี้ให้เธอดูคือคนที่ผมชอบแต่ผู้หญิงคนที่ผมรักคือ
"เธอคนนี้"…
เธอคนที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ผมอยู่เสมอ…เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าผมคิดอย่างไรกับเธอถ้าผมสามารถขอพรวิเศษใดๆได้ผมอยากจะขอแววตาคู่นั้นที่เคยจ้องมองผมด้วยความรู้สึกดีๆอยู่เสมอรอยยิ้มที่เคยมีให้เวลาผมท้อแท้เสียงหัวเราะที่เคยทำให้โลกทั้งโลกดูสดใส..…ผมอยากจะขอให้เธอกลับคืนมา…..

เธอคือรักครั้งแรกของผมอาจต้องใช้เวลามากสักหน่อยในการทำใจว่าต่อจากนี้จะไม่มีเธออยู่บนโลกใบนี้อีกแล้วไม่มีคนที่เข้าใจและคอยห่วงใยผมตลอดมาแต่ผมรู้เสมอว่าเธอจะคอยจ้องมองผมอยู่ห่างๆเหมือนอย่างเคยเพราะนั่นคือสิ่งที่เธอเรียกมันว่าความสุขและเธอจะรอผมอยู่ ณ ที่แห่งนั้นตรงดินแดนแห่งความรักที่สร้างไว้สำหรับเราเพียงสองคน…
สักวันผมจะไปหาเธอ…
หลับให้สบายนะครับ…มีน…
หลับตาเถอะนะ…แล้วเราก็จะพบกันอาจเป็นเพียงฝันก็พอใจ
หลับตาเถอะนะ…ถึงตัวเราจะแสนไกลห่างกันเพียงไหนก็ใกล้เธอ
ชีวิตขีดเส้นทางไว้ให้เราเจอกันขีดทางที่ผกผันให้มีวันห่างไกล
หลับตานานนาน…คิดถึงวันเก่าจะยังมีเราสองคน…หลับตาเถอะนะเธอ…

นิทานใบไม้


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...ดอกไม้และใบ้ไม้ยังไม่ได้รวมอยู่บนต้นเดียวกันอย่างเช่นทุกวันนี้มันต่างก็แยกกันอยู่อีกทั้งเหล่าใบไม้ก็ไม่ได้มีแต่สีเขียวหากแต่มีหลากหลายสีสัน งดงามนัก แต่ดอกไม้กลับมีเพียงสีขาวเท่านั้นใบไม้รวมอยู่กับ หมู่ใบไม้ด้วยกัน มีแต่ความร่าเริง มีนิสัยรักสนุก ต่างจากดอกไม้ที่อยู่อย่างเงียบเหงา เดียวดาย แม้จะอยู่รวมกันคุยกันกับหมู่ดอกไม้ด้วยกันแต่ดอกไม้แต่ละดอกต่างมีความคิดและวาดฝันเป็นของตัวเองเธอเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

...บ่อยครั้งที่เธอมองไปที่ใบไม้แล้วนึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของสีสันสวยงามนั้นบ้างแต่ดอกไม้ดอกเล็กและเสียงเบาเกินกว่าที่จะเรียกใบไม้ให้หันมา กระทั่งวันหนึ่ง...ใบไม้เกิดรู้สึกเบื่อสีสันของตัวเองขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นดอกไม้น้อย สีขาวบริสุทธิ์ดอกหนึ่งเข้า ใบไม้ไม่รู้จักสีขาวมาก่อน เขา ไม่รู้ว่าสีขาวเป็นอย่างไรเพราะใบไม้ต่างก็มีสีสันกันทุกใบ...ใบไม้เกิดหลงใหลในความอ่อนหวานละมุนละไม ของดอกไม้น้อยในทันทีแต่ในความอ่อนหวานนั้นดูเหมือนจะมี ความเหงาแฝงอยู่ด้วยใบไม้จึงเข้าไปถามดอกไม้ว่า

"ดอกไม้ เธอช่างมีสีขาวสวยเหลือเกิน แต่ทำไมเธอจึงดู เงียบเหงาอย่างนี้เล่า"

ดอกไม้น้อยแหงนมองใบไม้กิ่งใหญ่ แข็งแรงก่อนจะตอบกลับไปว่า
"สีขาวซีดอย่างนี้หรือสวย ฉันอยากจะมีสีสันอย่างเธอบ้างจัง มันคงจะทำให้ฉันมีชีวิต ชีวาขึ้นมาก"

ใบไม้ได้ฟังแค่นั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเหลือดูแลและปกป้องดอกไม้น้อยดอกนี้เขาจึงบอกเธอไปว่า

"มาซิดอกไม้ ฉันช่วยเธอ ได้นะ ถ้าเพียงเธอมาอยู่กับฉันฉันจะทำให้เธอมีชีวิตชีวาขึ้นเอง"

ดอกไม้น้อยไม่รอช้ารีบตอบตกลงในทันทีเมื่อดอกไม้ไปอยู่กับใบไม้แล้วใบไม้ก็ให้การดูแลเธอ อย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อเธอ ถ่ายทอดออกมา เป็นสีสันสวยงามให้กับดอกไม้ แล้ววันหนึ่งเมื่อดอกไม้น้อย มองลงไปในลำธารเธอก็เห็นเงาตัวเองเปลี่ยนเป็นดอกไม้ สีสวยที่มีชีวิตชีวาแต่เมื่อหันไปมองที่ใบไม้ เขากลับกลาย เป็นสีเขียวที่ดูอบอุ่นนัก ดอกไม้น้อยถามใบไม้ว่า

"ใบไม้ นี่ฉันแย่งสีสันในชีวิตเธอมารึเปล่านะ"

ใบไม้ยิ้มแล้วตอบ กลับไปว่า
"ไม่หรอก ทุกวันนี้เธอคือสีสันในชีวิตฉัน ฉันไม่ต้องการสีสันอะไรอีกแล้ว ฉันมีเพียงความสบายใจที่ได้ เธอมีความสุข"

จากนั้นมาดอกไม้กับใบไม้ก็อยู่ร่วมกันเป็นต้นไม้ที่อบอุ่นบนรากของความรักที่หยั่งลึกลงไปในผืนดินของหัวใจด้วยเหตุนี้ใบไม้จึงมีสีเขียว สีเขียวที่มองแล้วให้ความรู้สึก สบายตา

เพราะเมื่อเรามองดูสีเขียวเมื่อไรเราจะรับรู้ได้ถึง ความสบายใจของใบไม้ที่เห็นดอกไม้น้อยของเขามีความ สุข ส่วนดอกไม้ขาวที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ อ่อนหวาน ละมุนละไมนั้น ดอกไม้คงไม่อยากให้ความรู้สึกเหล่านี้หาย ไป จึงยังคงมีดอกไม้สีขาวให้เราเห็นมาจนทุกวันนี้ด้วยเช่น กัน...

365วันของ..คำว่ารัก


เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเหงาอยู่ริมหน้าต่าง
เธอมองดูกระถางต้นไม้ที่แห้งเฉา ดินแตกระแหง
แต่ยังมีเมล็ดพืชงอกงามอยู่ในนั้น
เธอเก็บเมล็ดพืชนั้นมาด้วยความสงสัย...อยากรู้ว่ามันงอกขึ้นมาได้อย่างไร?

..วันที่ 1
เธอนำเมล็ดพืชนั้นมาปลูกในกระถางใบใหม่..รอคอยวันที่มันจะเติบโต
เธออยากเห็นเมล็ดพืชโตเร็วจึงรดน้ำ จนล้นกระถาง..

..วันที่ 2
เธอเฝ้าดูการเจริญเติบโตของเมล็ดพืชนั้น..ทันใดนั้นก้อมีปลาทองออกมาจากเมล็ดนั้น
เด็กหญิงเอาปลาทองใส่ไว้ในโหลและคิดว่าคงรดน้ำมากเกินไปจึงเอากระถางไปใส่ไว้ในเตาอบและเฝ้าดู

..วันที่ 3 เธอเปิดเตาอบออกดูเห็นลูกไก่เดินอยู่ในนั้น
มันมองมาที่เธอและเดินตามเธอตลอดเวลา
เด็กหญิงมีความคิดว่าควรจะใส่ปุ๋ยให้มันและเริ่มเทปุ๋ยจนหมดถุง
และ..รอ

..วันที่ 4 มีริบบิ้นสีแดงออกมาจากเมล็ด เธอดีใจมากนำริบบิ้นมาผูกให้กับลูกไก่ แต่ละวันเด็กผู้หญิงจะเฝ้ารอดูว่าจะมีอะรัยออกมาจากเมล็ดพืชอีก เธอมีความสุขกับการได้ดูแลเมล็ดพืช รดน้ำ พรวนดิน
ให้แสงแดด

...วันที่ 30 เด็กหญิงเบื่อที่จะรดน้ำ และดูแลต้นไม้ ไม! ่ตื่นเต้นกับสิ่งที่จะออกมาจากเมล็ดพืชนั้นเหมือนแต่ก่อน..ต้นไม้เริ่มแห้งเฉาใบไม้เริ่มเป็นสีเหลือง
ไม่มีอะรัยออกมาจากเมล็ดพืชอีก..

..วันที่ 180 ใบไม้เริ่มแห้งกรอบ
ดินเริ่มแตกแยกเหมือนครั้งแรกที่เด็กหญิงเจอมัน..เธอเศร้าเสียใจอย่างมาก

...วันที่ 250 เด็กหญิงรดน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ...เธอมีความหวังที่จะได้พบสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอย่างที่เคยเป็น

..วันที่ 251 เธอนำกระถางมารับแสงแดดอ่อนๆตอนเช้าด้วยใจที่เบิกบานและเต็มไปด้วยความหวัง

..วันที่ 252 เธอใส่ปุ๋ยและพรวนดินให้ต้นไม้
มีลูกไก่ที่ผูกริบบิ้นสีแดงและปลาทองในโหลอยู่ใกล้ๆ

..วันที่ 300 การเอาใจใส่
ดูแลอย่างใกล้ชิดของเธอทำให้ต้นไม้กลับมาออกใบเขียวชอุ่ม..และที่น่าประหลาดใจคือ
เมล็ดพืชกลายเป็นดอกสีขาวเล็กๆรูปร่างคล้ายหัวใจ
เด็กหญิงตื่นเต้นดีใจกว่าทุกครั้ง

..วันที่ 340 เธอร้องเพลงและพูดคุยกับดอกไม้สีขาวนั้นทุกเวลาที่ว่าง

เธอรู้สึกมีความสุขมาก..ที่ได้คอยเอาใจใส่โดยลืมไปสนิทว่ามันจะกลายเป็นอะรัยต่อไป..เด็กหญิงไม่คาดหวังให้ดอกไม้กลายเป็นสิ่งใด

เธอทนุถนอมและดูแลมันอย่างดีที่สุด

..วันที่ 365 เด็กหญิงนั่งอยู่ริมหน้าต่าง
กระถางตรงหน้าเธอไม่มีดอกไม้สีขาวรูปหัวใจอีกแล้ว
ดอกไม้ที่เธอเฝ้าดูแลหายไป!!
..แต่เธอไม่เศร้า ไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้
เพราะเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง
เขาสามารถพูดคุยกับเธอ ยิ้มให้เธอ ไปทุกที่กับเธอ
เข้าใจเธอ และเธอก็ไม่เคยเหงาอีกเลย......

** คุณรู้หรือยังว่าดอกไม้สีขาวรูปหัวใจกลายเป็นอะรัย **

เด็กผู้หญิงใช้เวลา 1 ปี ในการเรียนรู้เรื่องความรัก
เธอเรียนรู้ว่า

เมื่อเธอรดน้ำมากๆไม่ได้แปลว่ามันจะเจริญเติบโตเร็ว
มันอาจกลายเป็นสิ่งที่เธอคิดไม่ถึง

การเอาใจใส่กันเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้ความรักคงอยู่ต่อไป

การรอคอยเมื่อครั้งแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแต่นานเข้าจะกลายเป็นความท้อแท้และเบื่อหน่าย

ถึงเรายอมรับที่จะสูญเสียแต่ไม่มีทางหนีจากความเจ็บปวดได้

ไม่มีคำว่าสาย สำหรับความรัก เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

การที่เราคาดหวังกับความรักมากเท่าไรเมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังเราจะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น

คุณล่ะใช้เวลาเท่าไรในการทำความรู้จักและพยายามเข้าใจในความรัก
"ความรัก" ไม่มีข้อปฏิบัติที่ตายตัวแต่ละ!
คนจึงต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ตามวิธีที่แตกต่างกัน...

เจ้าไส้เดือน


เจ้าไส้เดือน..น้อยคอยแหงนมองดอกไม้มานาน
ในใจคิดว่า..ดอกไม้ช่างงดงาม …

เจ้าดอกไม้..เจ้าก็ชื่นชมที่ผีเสื้อมาดอมดมทุกวัน
ไม่เคย..ไม่เคยมองลงพื้นดิน
ไม่รู้..ไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนที่คอย..รัก …

ยังจำได้ดี.

ตอนที่เจ้าดอกไม้เล็กอยู่..ไม่มีแรงอ่อนล้า..เจียนตาย

เจ้าหนอน..กัดกินทั้งใบ.

และหัวใจของเธอ ไส้เดือนตัวหนึ่ง..คอยมาพรวนดินเสมอ
ดูแลอยู่ทุกวัน.

ดอกไม้ไม่เคยรู้ …
เมื่อคราวเจ้าหนอนกลับมา..เป็นผีเสื้อโก้หรู
ดูเธอพอใจ แต่ ไส้เดือนเจ็บช้ำ เธอรู้รึเปล่า..เมื่อเธอเฉามันก็ไป

เธอรู้รึเปล่า...

เมื่อเธอเฉาไป ใครกันที่ห่วงเธอ
และไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไร
จะร่วงโรย.

แห้งเหี่ยว
ไส้เดือนไม่เคยรังเกียจเธอ..ไส้เดือนตัวนี้..รักเดียว

จะอยู่กับเธอ……จนเป็นดินไปด้วยกัน

เรื่องของดอกไม้ กับนายก้อนหิน


ผมรู้จักผู้หญิงคนหนึ่งด้วยความบังเอิญ แต่ผมบอกตัวเองว่าเป็นเพราะพรหมลิขิต ผมพบเธอที่ริมบึงขนาดใหญ่หน้ามหาวิทยาลัย ขณะที่ผมกำลังไปวิ่งออกกำลังกาย เธอกำลังง่วนอยู่กับผืนผ้าใบ และภาพอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ผมยาวที่ถูกรวบเป็นมวยด้านหลังถูกปักด้วยพู่กันอันโต แทนปิ่นปักผม เสื้อกล้ามตัวเล็กสีขาว สร้อยข้อมือเต็มแขนเล็กๆ กางเกงยีนส์สีซีด และรองเท้าผ้าใบโทรมๆ เธอคงดูเป็นผู้หญิงเรียนศิลปะที่เซอจนไม่น่าดู

หากไม่เพราะใบหน้าที่งดงามราวภาพวาดของจิตรกรเอกนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่สวย หากไม่พิศมองอย่างดี แต่เธอก็ดูน่ารักมากในสายตาผม ผมบอกตัวเองว่าหากผมวิ่งวนกลับมาอีกรอบแล้วเจอเธอ ผมจะเข้าไปคุยด้วย



วันนี้ จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาคุยกับฉัน เขาเรียนวิศวะ ท่าทางเป็นหนุ่มเจ้าสำอางเชียว แต่ก็ดูท่าทางจะเป็นที่รู้จักในคณะน่าดูนะ เพราะตอนที่ช่วยฉันหอบอุปกรณ์วาดรูปมาส่งที่รถ มีรุ่นน้องมาทักเยอะเชียว



ยิ่งรู้จัก ผมยิ่งรู้สึกว่าเธอน่ารักครับ เธอเป็นรุ่นน้องผม 1 ปี แต่ก็ไม่เคยเรียกผมว่าพี่ซักคำ เธอบอกว่า เรารู้จักกันในฐานะเพื่อน ไม่ใช่รุ่นพี่ รุ่นน้อง เพราะเธอขี้เกียจนอบน้อมผม อย่างที่รุ่นน้องในคณะเป็น

ก็แหม ผมเคยเป็นประธานเชียร์นี่ครับ รุ่นน้องก็ต้องเกรงเป็นธรรมดา เธอเป็นผู้หญิงที่ใจดีมากครับ ทุกวันเสาร์เธอจะไปสอนศิลปะให้เด็กกำพร้า และวันไหนที่ว่างก็จะไปอ่านนิทานอัดเทปให้เด็กๆ ตาบอด

ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วครับว่าผมชอบเธอมาก แถมภูมิใจมากที่คนที่ผมชอบเป็นคนดีมากด้วย



เขาเป็นผู้ชายที่ใช้ได้ทีเดียวแหละ อย่างน้อยก็รู้จักเทคแคร์ผู้หญิงมากกว่าเพื่อนที่คณะของฉันเยอะทีเดียว แล้วก็เป็นคนมุ่งมั่นดี เขาตั้งใจเรียนมากเลยนะ ไม่เคยขาดเรียนเลย เล่นเอาฉันรู้สึกผิด ที่โดดเรียนเป็นว่าเล่น แล้วก็เป็นคนขยันทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ซึ่งฉันไม่คิดจะทำ ต่างกันจริงแหะฉันกับเขา



วันนี้เธอชวนผมไปขับรถเล่นครับ เธอบอกเธออยากไปอุทยานแห่งชาติแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเรานัก แต่ก็เป็นร้อยกิโลเลยนะครับ ผมมองมอเตอร์ไซต์เก่าๆ โทรมๆ ของผมแล้ว ก็ยากจะไปถึงครับ

เธอทำหน้าขรึมแล้วยื่นกุญแจรถของเธอให้ผม บ้านเธอรวยครับ เธอมีรถยนต์ส่วนตัวใช้ ผมรู้สึกได้ทันทีว่าเธอกำลังไม่สบายใจ นั่งรถไปได้เดี๋ยวเดียว เธอก็ร้องไห้โฮเลยครับ ผมเลยรู้ว่าเธอขี้แยไม่เบา

เรื่องของเรื่องที่เธอกลุ้มใจก็คือ ที่บ้านเธอไม่ยอมมาเยี่ยมเธอในวันนี้ตามที่นัดไว้ครับ เพราะน้องชายไม่สบายนิดหน่อย ผมขำไม่ออก เพราะท่าทางเธอเสียใจกับเรื่องที่ผมเห็นเป็นสิ่งเล็กน้อยนี้มาก จึงได้แต่เงียบ แล้วก็เล่าเรื่องของผมให้เธอฟังบ้าง



ฉันไม่กล้าฟูมฟายเลยทีเดียว เมื่อเขาเล่าเรื่องครอบครัวของเขาให้ฉันฟัง เขาเล่าให้ฟังว่าพ่อกับแม่ของเขาเลิกกัน และเขาก็ไม่เชิงว่าใครเลี้ยง เพราะอยู่กับพ่อบ้าง อยู่กับแม่บ้าง อยู่กับญาติบ้าง และแต่ละที่ก็ไม่ใช่ที่ของเขา เพราะทุกคนต่างมีครอบครัวของตัวเอง อยู่ที่ไหนเขาก็เหมือนเป็นแค่คนอาศัย

ตอนนี้เขาอาศัยการได้ทุนการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่พี่สาวส่งให้นิดหน่อยดำรงชีวิต เพื่อก้าวไปยังเส้นทางที่สบายขึ้น ฉันทึ่งมากที่เขาเข้มแข็ง และไม่ร้องไห้กับโชคชะตาของตนเอง ตั้งใจเรียน ไม่เกเร ฉันโชคดีกว่าเขาเยอะมากทีเดียว สงสารเขาจังแหะ



เธอบอกผมว่า บางทีถ้าผมเสียใจ ผมควรจะร้องไห้บ้าง เพราะถ้าไม่ร้องเสียบ้าง ความเสียใจต่างๆ จะถูกสะสมเป็นตะกอนในหัวใจของผมเอง แล้วท้ายที่สุด หัวใจผมจะกลายเป็นก้อนหิน แม้จะแข็งแกร่ง และผมจะไม่มีวันเสียใจอีก

แต่มันจะทำให้คนใกล้ตัวผม บอบช้ำยามโดนผมกระทบ ผมก็เลยบอกเธอว่า ผมเห็นเธอเป็นดอกไม้ของนายก้อนหิน ดอกไม้ที่ช่วยมาเติมความอ่อนหวานให้ก้อนหินที่ไม่ค่อยมีค่าก้อนนี้

สรุปแล้ววันนั้น เราก็ไปไหนไม่ได้ไกล เพราะทันทีที่เห็นทุกนาเขียวขจีกว้างไกล เธอก็ขอให้ผมหยุดรถ แล้วลงไปวิ่ง เหมือนไล่คว้าอะไรบางอย่าง เธอบอกว่า เธอกำลังวิ่งไล่จับความฝัน



วันนี้เขารับปริญญา ฉันอาสาเป็นตากล้อง ครอบครัวเขามีแม่มาแค่คนเดียว แต่บ้านฉันมากันทั้งบ้านเลยแหละ พ่อแม่ และน้องชายฉันชอบเขามาก

ก็ดีแล้วล่ะ เพราะฉันอยากให้เขาได้รับความอบอุ่นในครอบครัวอย่างที่ฉันได้รับมาเสมอบ้าง ฉันอยากให้เขามีความสุข เพราะความสุขของเขาก็เป็นความสุขของฉันเหมือนกัน

วันนี้เราสนุกสนานกันใหญ่ เหล่าเด็กอย่างพวกเราพาคนสูงวัย 3 คนไปปล่อยแก่กันในคาราโอเกะทั้งคืน ก็ไม่ได้จ่ายเองนี่ พ่อแม่มาทั้งที แม่ของเขาเข้ากับแม่ของฉันดีทีเดียว



ผมได้ทุนจากมหาวิทยาลัยมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น เหงามากครับ ทั้งที่ผมเคยชินกับความเหงามาตลอดชีวิต ก่อนที่จะพบเธอ ผมหลีกเลี่ยงความเหงาโดยการตั้งใจเรียน เวลาว่างก็ทำงานพิเศษ ผมเก็บเงินได้ก้อนโตทีเดียวครับ คิดว่าพอเรียนจบกลับไปจะไปขอเธอหมั้นไว้ก่อน เธออีเมล์มาเล่าให้ฟังว่า เธอได้งานในบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่ง กำลังสนุกกับงาน



อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะกลับมาแล้ว เห็นบอกว่าเอาแต่เรียนกับทำงาน จนไม่มีเวลาใช้เงิน แหมคงรวยใหญ่ ฉันเองก็กำลังสนุกกับงานที่ทำ อาจเหงาบ้าง แต่อีกไม่กี่เดือนคงหายเหงา พ่อเพิ่งซื้อคอนโดไว้ให้ กำลังตกแต่ง พ่อกับแม่วางแผนไว้เสร็จสรรพ ว่าพอเขากลับมาจะยัดเยียดลูกสาวให้ทันที แล้วให้ย้ายไปอยู่คอนโดใหม่ซะ พ่อกับแม่หาว่าอพาร์ทเม้นที่ฉันอยู่มันไม่ค่อยปลอดภัยสำหรับการอยู่คนเดียวนัก



วันนี้ผมได้รับจดหมายจากที่บ้านของเธอ เดาได้ว่าเธอคงยังไม่รู้เรื่องแน่ๆ พ่อกับแม่ของเธอเขียนจดหมายมาบอกให้ผมกลับไปรับลูกสาวไปจากอกท่านด่วน พร้อมกับซื้อคอนโดไว้เป็นค่าสินสอดให้แล้ว ถ้าผมจะเรียกร้องอะไรอีกก็ขอให้บอก ขอเพียงช่วยรับลูกสาวท่านไปเลี้ยงดูแทนก็พอ พร้อมกับส่งเอกสารโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมาด้วย

ที่บ้านของเธอน่ารักอย่างนี้เสมอครับ ทั้งที่ผมเป็นคนอื่น แต่ท่านทั้งคู่ก็เอ็นดูผมมากทีเดียว กลายเป็นว่าเงินทองที่ผมสะสมเพื่อขอเธอแต่งงานก็อดใช้ครับ เก็บไว้ให้ลูกแทนละกัน

ตื่นเต้นครับ อีกไม่กี่วันผมก็จะได้กลับไปหาเธอแล้ว ดอกไม้ของผม



พรุ่งนี้เขาจะกลับมาแล้วล่ะ เดี๋ยวตอนเย็น ฉันจะออกไปหาซื้อข้าวของ และอาหารมาเตรียมไว้ทำให้เขากินพรุ่งนี้ เขาต้องแปลกใจมากแน่ๆ ที่ฉันทำอาหารเป็นแล้ว หุหุ ใช้เวลาฝึกฝนแรมปีเชียวนะ โอ๊ย ตื่นเต้นจังเลย แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ นายก้อนหินของฉัน

เราจะสมัครใจเป็นดอกไม้ที่อยู่ข้างก้อนหิน เพราะดอกไม้สักแต่สวย หากแสนบอบบาง เราจะมีก้อนหินคอยดูแล ปกป้อง….

ถ้าได้ทะเลาะกัน


จากที่ใช้เวลาดูใจกันเพียงไม่นานในที่สุดเธอก็ตกลงแต่งงานกับเขาชายผู้เป็นรักแรกของเธอ
ในวันแต่งงาน ว่าที่สามีของเธอได้ซื้อตุ๊กตาคู่บ่าวสาวมามอบให้เป็นของขวัญ

ด้วยความที่เธอเพิ่งได้รู้จักความรักมาเพียงน้อยนิดเธอจึงเข้าใจเพียงว่าสามีของเธอช่างเป็นคนโรแมนติกเสียจริง
แต่เนื่องด้วยความที่เธอยังไม่เข้าใจคำว่ารักและไม่ได้ใช้เวลานานพอ จึงทำให้ทั้งคู่ทะเลาะกันบ่อยมาก
เพราะเธอเป็นคนที่เอาแต่ใจ สามีของเธอถึงจะเป็นคนที่มีเหตุผลมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่กว่า แต่ก็เป็นคนอารมณ์ร้อน
ทั้งคู่จึงทะเลาะกันรุนแรงมาก แต่เขาก็จะเป็นคนไกล่เกลี่ยให้เรื่องร้ายบรรเทาลงได้ทุกครั้งไป

จนครั้งนี้ ด้วยความโมโห เธอได้ปัดตุ๊กตาคู่รักลงจากโต๊ะที่เคยมีทั้งสองยืนเคียงกัน
บัดนี้ตุ๊กตาทั้งสองกระจัดกระจายไปคนละทางเธอหยิบตุ๊กตาเจ้าสาวมาขวางใส่เขาประกาศจะขอหย่ากับสามี
เขากอดตุ๊กตาเอาไว้แน่น แล้วเดินออกจาเรือนหอแห่งรักไปทั้งน้ำตาหลังจากพายุสงบลงหญิงสาวก็นั่งนิ่งแล้วร้องไห้
เธอเหลือบไปเห็นตุ๊กตาเจ้าบ่าวที่เหมือนจะนอนร้องไห้อยู่ที่พื้นเธอหยิบมันขึ้นมากอดอย่างเจ็บปวดที่สุด

ปากเธอพร่ำบอกรักเจ้าบ่าวของเธอร้อยพันครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบใดๆจากเจ้าตุ๊กตาตัวน้อย
เธอลุกขึ้น กอดตุ๊กตาเดินออกไปนอกบ้านตั้งใจจะออกไปตามหาเขา...คนรักเพียงคนเดียวของเธอ
แต่พอพ้นประตูบ้านไป ก็เห็นสามีของเธอนอนอยู่ที่ริมรั้วเขาหลับไปทั้งๆที่ยังกอดตุ๊กตาเจ้าสาวอยู่
เธอจึงเข้าไปปลุกแล้วบอกว่า

“ขอโทษนะจ๊ะ เพื่อนของฉันดูท่าทางเหงาเพื่อนของเธอก็ทำหน้าเศร้าจังเลย
ฉันจึงอยากจะขอเจ้าสาวจากเธอมาให้เพื่อนฉันเพื่อให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”

เธอเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแล้ว และเธอก็กำลังยิ้มเช่นกันมันเป็นช่วงเวลาที่เขาและเธอช่างสุขใจเหลือเกิน

“ให้ไม่ได้หรอก ฉันมีเพียงแค่เธอคนนี้เท่านั้นเธออยู่ปลอบฉันทั้งคืนเลยถ้าให้เธอไปแล้วใครจะปลอบฉันล่ะ"
แล้วเธอก็หัวเราะ “โธ่ ให้ฉันไม่ได้เหรอ แล้วฉันจะคอยปลอบเธอเองเถอะนะฉันซื้อก็ได้เท่าไหร่ฉันก็จะซื้อให้ได้”

“ถ้าความรักมันซื้อขายกันได้ง่ายๆก็ดีน่ะสิ” เขาตอบ
“ถึงยังไงฉันก็คงขายให้ไม่ได้หรอกเพื่อนฉันคนนี้มีค่าสำหรับฉันมากเพราะเธอนำพาคนที่ฉันรักกลับมาหาฉันอีกครั้ง”

หญิงสาวตื้นตันใจจนน้ำตาไหลลงมา
“จะพอมั้ยถ้าฉันจะจ่ายแสนกอด ล้านจูบ และความรักที่ไม่มีวันหมดไป”
“กลับบ้านด้วยกันนะ…”

เวลาทะเลาะกัน ต่างฝ่ายต่างรู้สึกไม่พอใจซึ่งกันและกันในช่วงเวลานั้นส่วนของโทสะจะมีมากกว่าความรัก
ยิ่งหากเธอโยนความรักทิ้งไปมันก็จะเหลือเพียงความโกรธ ความไม่พอใจเท่านั้นเอง
และเพราะเธอโยนความรักทิ้งไป เธอจึงลืมไปว่าถึงแม้ตอนที่ทะเลาะกัน จะโกรธ เกลียด ด่าว่ายังไง
เวลานั้นเราก็ยังรักกันอยู่ ที่ทะเลาะก็เพราะรักไม่ใช่เหรอทำไมไม่กอดความรักเอาไว้
เธอจะเข้าใจความหมายของการทะเลาะกันทะเลาะกันก็เพราะว่ารักมาก แต่ไม่เข้าใจกัน
เพราะเธอโยนความรักทิ้งไปในตอนที่ทะเลาะกันเธอจึงกล้าจะบอกเลิกได้
เพราะความรักที่เธอเคยมีมากมายอยู่บนพื้นไม่ได้อยู่ในใจของเธอและเธอจะเจ็บปวดที่สุด

เมื่อเก็บความรักบนพื้นกลับมาใส่ในใจเธออีกครั้ง...
ดีใจทุกครั้งที่ได้ทะเลาะกัน เพราะรู้ดีว่าคนที่กำลังด่าว่าฉันอยู่
เธอทำเพราะว่ารักฉัน รู้ดีว่าเมื่อปัญหาจบลง ความเข้าใจจะเพิ่มขึ้น
ความรักก็เหมือนกัน เคยสังเกตมั้ยว่าเราจะรักกันมากขึ้น

ถ้าได้ทะเลาะกันคนสองคน มาจากคนละทาง ความแตกต่างมันต้องมีอยู่แล้ว
ตอนนี้เราเหมือนเดินขนานกัน แต่ทุกครั้งที่ทะเลาะกันช่องว่างระหว่างเราจะค่อยๆลดลงไป
ทำใจเอาไว้เถอะ เพราะเราจะต้องทะเลาะกันไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ
จนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว...

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พ่อใต้เตียง


เมื่อฉันยังเล็กๆ พ่อเป็นเหมือนแสงไฟในตู้เย็น แต่ละบ้านมีพ่อ
แต่ไม่มีใครรู้จริงๆสักคนว่า พ่อแต่ละคนทำอะไรหลังจากปิดประตูออกไปจากบ้านแล้ว

พ่อของฉันออกจากบ้านทุกเช้าและกลับมาตอนเย็นทุกวัน
พ่อคนเดียวที่สามารถเปิดขวดแยมได้ ในขณะที่คนอื่นๆทำไม่สำเร็จ

พ่อคนเดียวที่สามารถลงไปห้องใต้ดินคนเดียวได้โดยไม่ต้องให้ใครลงไปเป็นเพื่อน

มีบางครั้งที่พ่อโดนมีดโกนหนวดบาด แต่ก็ไม่ต้องมีใครคอยปลอบ

เวลาฝนตกพ่อเป็นคนที่ต้องออกไปเอารถและขับมาจอดไว้ใกล้ๆประตูบ้านคอยรับเรา

เวลาใครไม่สบาย ก็พ่ออีกนั่นแหละที่ไปซื้อยามาให้
พ่อคอยวางกับดักหนู ตัดกิ่งกุหลาบไม่ให้มาทิ่มแทงเรา

เมื่อฉันได้รับจักรยานคันใหม่ พ่อก็คอยถีบไปข้างๆฉันหลายต่อหลายกิโลเมตร...
จนกว่าฉันจะสามารถขี่คนเดียวได้ ฉันกลัวพ่อของคนอื่น แต่ไม่เคยกลัวพ่อของฉัน

วันหนึ่งฉันชงชาให้พ่อ แต่มันหวานเกินไป
พ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆจิบชา และบอกว่า "อร่อยจัง"


เวลาที่ฉันเล่นตุ๊กตาแม่ ฉันมักเล่นอะไรต่ออะไรได้เยอะแยะ
แต่สำหรับตุ๊กตาพ่อ ฉันกลับไม่รู้ว่าจะเล่นอย่างไร
ฉันได้แต่เพียงพูดว่า

"เอาละ พ่อไปทำงานนะ"
แล้วฉันก็โยนตุ๊กตาพ่อไว้ใต้เตียง

....................

เช้าวันหนึ่ง ตอนฉันอายุเก้าขวบพ่อไม่ตื่นไปทำงานเราพาพ่อไปโรงพยาบาล ...พ่อสิ้นใจ...
วันรุ่งขึ้น ฉันเข้าไปในห้องนอนหาตุ๊กตาพ่อที่อยู่ใต้เตียงปัดฝุ่น และวางไว้บนเตียง...
พ่อของฉันไม่เคยทำอะไรเลยหรือ ฉันไม่คาดคิดเลยว่าการจากไปของพ่อ
จะทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดได้มากขนาดนี้และทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้ว่าทำไม...

หญิงสาวคนหนึ่งสารภาพว่า
"พ่อของฉันตายมาแล้วหลายปี
แต่ฉันก็ยังเสียใจอยู่จนทุกวันนี้ ที่ไม่ได้บอกพ่อว่า...
"พ่อ... หนูรักพ่อ"...

เพื่อนเก่าเหมือนรูปถ่าย เพื่อนใหม่เหมือนรองเท้า


"เพื่อนเก่าเหมือนรูปถ่าย เพื่อนใหม่เหมือนรองเท้า "...

เพื่อนเก่า :
เป็นคนที่อยู่กับเรา ตอนเรามีความรักครั้งแรก
เป็นคนที่มีความทรงจำทั้งดีและแย่ร่วมกันกับเรา
เป็นคนที่มีรูปติดอยู่ในสมุดเฟรนด์ชิปเล่มเดิม
เป็นคนที่เซ็นชื่อกำกับตัวโตๆ ตรงคำว่ารักเรามากกว่าใคร
เป็นคนที่มักวิ่งเข้ามาในความคิดถึง ตอนเราเหงา
เป็นคนที่เราภูมิใจ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง
เพื่อนเก่า.....จึงเหมือนกับรูปถ่ายที่ถูกเก็บไว้ในอัลบั้ม


ส่วนเพื่อนใหม่ :
เป็นคนที่อยู่กับเรา ตอนเรามีความรักครั้งปัจจุบัน
เป็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งตอนที่เราผิดหวังและสมหวัง
เป็นคนที่บอกเราว่าถึงแม้บางครั้งจะล้ม
แต่ถ้าใจไม่แพ้ ก็สามารถจะเริ่มต้นวิ่งใหม่ได้ทุกเมื่อ
เป็นคนที่ถ้าเราไม่สบาย จะรีบมาดูแล
เป็นคนที่เราอุ่นใจ เมื่อเล่าให้คนอื่นฟัง
เพื่อนใหม่.....จึงเหมือนกับรองเท้า
ที่พร้อมจะเดินไปในทุกๆที่ ด้วยกันกับเรา


ในชีวิตของทุกๆคน
ต่างก็จำเป็นต้องมีทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่อยู่ในชีวิต
เพื่อจะได้มีทั้ง 'ความทรงจำที่น่าภูมิใจ' และ 'ปัจจุบันที่อบอุ่นใจ'
โดยการให้ความสำคัญกับ 'รูปถ่ายในอัลบั้ม'
หมั่นหยิบขึ้นมาปัดฝุ่น คิดถึงและนึกถึงเรื่องราวในภาพเหล่านั้นเสมอๆ
แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมที่จะหมั่นเช็ดฝุ่นให้กับรองเท้าด้วย
อย่าให้การเดินไปด้วยกัน เป็นการเดินเหยียบย่ำกัน
อย่าให้ความเคยชิน ทำให้หมดความเกรงใจและไม่ให้เกียรติกัน
เพราะถึงแม้รองเท้าจะยี่ห้อดีแค่ไหน เพื่อนใหม่คนนั้นจะดีกับเราแค่ไหน
ถ้าเราใช้งานแบบไม่ถนอม รองเท้าก็อาจพังได้
เพื่อนใหม่ก็อาจหนีหายไปจากเราได้
ซึ่งก็รู้ใช่หรือเปล่า ว่ารองดท้าดีๆ ที่ใส่แล้วเหมาะกับเรานั้น
หาไม่ง่ายเลย
เพื่อนดีๆ ที่เข้าใจเรานั้น หายากมาก และบางที...ตลอดชีวิต
อาจเจอแค่คนเดียว

เวลา นาฬิกา...แตกต่างแต่เติมเต็ม



แปลกมั๊ย..ใคร ๆ ก็คิดว่าเวลากับนาฬิกาเป็นสิ่งที่คู่กันเสมอ
จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย

เวลา... เดินไปข้างหน้า
นาฬิกา.. เดินอยู่ที่เก่า

เวลา.. เราไม่อาจย้อนกลับ
นาฬิกา.. เราหมุนย้อนมันได้

เวลา.. เมื่อสูญเสียไปแล้วไม่อาจเรียกร้องคืน
นาฬิกา.. เสียก็ซ่อม หรือซื้อใหม่ไปเลย

เวลา.. ได้มาฟรีๆ ไม่ต้องแลกกะอะไร
นาฬิกา.. ยิ่งสวยยิ่งแพง ใช้เงินซื้อมันมาทั้งนั้น

แล้วอย่างนี้ มันจะคู่กันได้ยังไง ในเมื่อมันแตกต่างกันเหลือเกิน

แต่ถามหน่อย.. ถ้าไม่มีนาฬิกา จะรู้เวลามั๊ย
หรือถ้ามีแต่นาฬิกา แต่ไม่รู้จักเวลา จะมีประโยชน์อะไร

ถึง 2 สิ่งจะแตกต่างกัน แต่ถ้ามันจะคู่กันแล้ว
ย่อมมีจุดร่วมกันเสมอ เพียงแต่จะมองเห็นมันรึป่าว?

ฉันกับเค้า.. อาจไม่มีอะไรเหมือนกัน
ฉันกับเค้า.. มีความคิด และวิถีชีวิตที่ต่างกัน
ฉันกับเค้า.. อาจเดินกันคนละเส้นทาง
ฉันกับเค้า.. อาจมีความฝันที่ห่างไกลกัน

ฉัน.. อาจเหมือนกับเวลา ที่ชอบเดินไปข้างหน้า
หาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทาย โดยทิ้งหลายสิ่งไว้ข้างหลัง

เค้า.. อาจเหมือนกับนาฬิกา ที่ยังเป็นแบบเดิมๆ
ใช้ชีวิตและทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ในมุมเก่าๆ

ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันยังดึงดันจะมองแต่ข้างหน้า
ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันไม่มองไปข้างหลัง

เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังอยู่แบบเดิมๆ
เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเขาไป

แต่ฉันยังเฝ้ามอง เฝ้ารอ …
ความแตกต่าง อาจสร้างกำแพงบังเค้าไว้

แต่ฉันยังเชื่อมั่น ว่าซักวัน สิ่งนั้นน่ะแหละ
ที่จะเชื่อมโยงใจเราเข้าหากัน

ความแตกต่าง จะเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย
และสุดท้าย ก็จะเหลือเพียงแค่คำว่า..
** กันและกัน **

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารักๆของกามเทพและหัวใจ




ในอดีตกาลนามมาแล้ว เค้าว่ากันว่า มนุษย์ทุกคนมีหัวใจด้วยกันจริงๆแล้วทั้งหมดสองดวง แต่ยังมีเทวดาน้อยอยู่องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักสิ่งที่เค้าเรียกว่าหัวใจด้วยความที่สงสัยว่าหัวใจนั้นมันเป็นอย่างไรเทวดาน้อยจึงได้ไปถามนางฟ้าผู้ที่ดูแลทางเข้าออกของประตูสวรรค์…



“ท่านนางฟ้า โปรดบอกข้า หัวใจคืออะไร…?”
“หัวใจ…ก็คือสิ่ง บริสุทธิ์ สวยงาม ที่สุดของมนุษย์ยังไงเล่า”
“แล้วสิ่งที่เรียกมนุษย์อยู่แห่งใดล่ะ…?”
“อยู่เบื้องล่างยังอีกฟากของประตูสวรรค์นี่ยังไงเล่า”
“เปิดประตูให้ข้าไปชมหัวใจของมนุษย์ได้มั้ย นางฟ้า…?”
“มิได้หรอก มันผิดกฎของสวรรค์ เจ้ากลับไปซะเถอะ แค่เจ้ามาสนทนากับข้าก็ผิดมากเท่าใดแล้ว เจ้ารู้ตัวมั้ย เจ้าเทวดาน้อย”

เทวนาน้อยทำทีว่าหันหลังกลับไปแต่ด้วยความที่อยากได้หัวใจมาครอบครองไว้เป็นของตน
จึงได้นำคันศรธนูมาแล้วยิงไปที่นางฟ้าผู้รักษาประตูสวรรค์หวังจะให้นางฟ้านั้นสลบไปในชั่วข้ามคืนนั้นเอง
เทวดาน้อยแอบเปิดประตูสวรรค์แล้วบินไปยังโลกมนุษย์กลางดึกของคืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ
มนุษย์ทุกคนต่างหลับกันหมดแล้วเทวดาน้อยจึงแอบบินเข้าไปในบ้านของมนุษย์ทุกคน
แล้วไปเอาสิ่งที่เรียกว่า “หัวใจ” ของทุกคนบนโลกมนุษย์ มาคนละหนึ่งดวงแล้วนำลอยขึ้นไปบนสวรรค์
หวังจะขโมยกลับไปเป็นของตนแต่ระหว่างที่เทวดาน้อยกำลังกลับเข้าไป
ปากทางของประตูสวรรค์ได้มีนางฟ้าและเทวดาแห่งความรักยืนกั้นอยู่เทวดาน้อยเห็นดังนั้นจึงบินหนี
แต่นางฟ้าองค์หนึ่งได้บินตามเพื่อมาแย่งหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดมาไว้
แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหัวใจทั้งหมดได้เกิดกระจายออกแล้วร่วงโปรยปรายไปยังบนโลกมนุษย์

และได้เกิดการสลับสับเปลี่ยนเจ้าของหัวใจกันในค่ำคืนนั้นเอง…
เทวดาน้อยถูกลงโทษด้วยการเป็นเด็กตลอดกาล
และเปลี่ยนชื่อเป็นกามเทพให้อยู่บนโลกมนุษย์เพื่อตามหาหัวใจสองดวงของมนุษย์ที่
ไปอยู่กับใครอีกดวงหนึ่งให้มาพบกันตลอดไป
ตอนนี้หัวใจของคุณอีกดวงหนึ่งก็คงอาจจะอยู่กับใครบนโลกใบนี้ก็เป็นได้
อย่ารอให้ กามเทพ เป็นคนหาหัวใจให้คุณ… ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องตามหาหัวใจของคุณคืนมา
และเมื่อคุณได้มันคืนมาแล้ว จงดูแลหัวใจคุณให้ดี อย่าได้ปล่อยให้หัวใจมันจากคุณไปอีก…
เพราะคุณอาจจะไม่มีวันเจอหัวใจอีกดวงที่แท้จริงของคุณตลอดชีวิต
หรือชั่วชีวิตก็เป็นได้ - - -

ความลับของตุ๊กตา


ฉันมีแฟนอยู่หนึ่งคน เราเติบโตมาด้วยกัน ชื่อว่าจิน ฉันคิดกับเขาแค่เพื่อนมาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เราไป Club trip ด้วยกัน ฉันพบว่าฉันตกหลุมรักเขาสะแล้ว ก่อนที่เราจะกลับจากที่ไปเที่ยว ฉันได้สารภาพรักกับเขา ในไม่ช้า, เราก็กลายมาเป็นคู่รักกัน แต่เราสองคนรักกันในทางที่ต่างกัน ฉันสนใจแต่เขาเพียงคนเดียวเสมอ แต่ว่า ข้างกายเขา, กลับมีผู้หญิงหลายคนเข้ามาสำหรับฉันแล้ว เขาเป็นผู้ชายคนเดียว แต่สำหรับเขา ฉันอาจจะเป็นเพียง ผู้หญิงคนนึงเท่านั้น.....

"จิน, อยากไปดูหนังไหม" ฉันถามเขา
"เราไปไม่ได้"
"ทำไมเหรอ, หรือว่าต้องอ่านหนังสือที่บ้าน?" ฉันรู้สึกถึงความผิดหวังที่เข้ามาในใจฉัน
"เปล่าหรอก, เรานัดกับเพื่อนไว้..."

เขาจะเป็นแบบนี้เสมอ เขาพบเพื่อนผู้หญิงต่อหน้าฉัน เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สำหรับเขาแล้วฉันคือ เพื่อนหญิงคนนึงเท่านั้น คำว่ารัก แค่ออกมาจากปากของฉันเท่านั้น ตั้งแต่ฉันรู้จักเขา, ฉันไม่เคยได้ยินเขาพูดคำว่ารักมาก่อน ไม่เคยมีฉลองวันครบรอบสำหรับพวกเรา เขาไม่เคยพูดอะไรตั้งแต่วันแรก และมันก็เป็นแบบนั้นต่อไป 100 วัน ก็แล้ว.....200วันก็แล้ว ทุกวันก่อนที่เขาจะพูดคำลา, เขาจะแค่จะให้ตุ๊กตาตัวนึงกับฉัน, ทุกวัน, ไม่เคยตกขาด ฉันไม่รู้ว่าทำไม จนกระทั่งวันหนึ่ง

ฉัน:เออ, จิน, เรา....
จิน: อะไรเหรอ...อย่ามาอ้ำอึ้งหน่า, แค่พูดมา..
ฉัน: เรารักนายนะ
จิน:....เออ, เอาตุ๊กตาตัวนี้ไปแล้วก็กลับบ้านซะนะ
นี่เป็นการที่เขาไม่ใสใจคำ 3 คำของฉัน แล้วก็ส่งตุ๊กตาให้ฉัน

จากนั้นเขาก็หายไป, เหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งหนีฉัน ห้องฉันเต็มไปด้วยตุ๊กตาที่เขาให้ฉันทุกวัน
ทีละตัวทีละตัว จนเต็มไปหมด จนวันหนึ่งมาถึง, วันเกิดของฉันตอนฉันอายุ 15
ตอนที่ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้า ฉันวาดฝันว่าจ่ะมีปาร์ตี้กับเขา, แล้วฉันก็ขังตัวเองไว้ในห้องนอน, รอโทรศัพท์จากเขา…แต่ว่า......ข้าวเที่ยวก็แล้ว...ข้าวเย็นก็แล้ว.....ในไม่ช้าท้องฟ้าก็กลายเป็นสีดำ...เขาก็ยังไม่ได้โทรมา
ฉันก็ไม่อยากที่จ่ะเฝ้าดูโทรศัพท์อีกต่อไป จากนั้นประมาณตีสอง, เขาก็โทรมาหาฉัน แล้วก็ทำให้ฉันตื่น เขาบอกให้ฉันออกไปหาเขาที่หน้าบ้าน ฉันยังรู้สึกดี แล้ววึ่งออกไปหน้าบ้านอย่างมีความสุข

ฉัน:จิน....
จิน:นี่.....เอานี่ไป
อีกแล้ว, เขาให้ตุ๊กตากับฉันอีกแล้ว
ฉัน: นี่อะไร
จิน: ไม่ได้ให้เมื่อวานนี้, ก็เลยต้องให้ตอนนี้, กลับบ้านก่อนนะ บาย
ฉัน: เดี๋ยว!เดี๋ยว! รู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร?
จิน:วันนี้เหรอ? อู?
ฉํนรู้สึกเศร้า, ฉันหลงคิดว่าเขาจำวันเกิดของฉันได้

เขาหันกลับไปแล้วก็เดินจากไปเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นฉันตะโกน

เดี๋ยว!
จิน: มีไรจะพูดเหรอ?
ฉัน: บอกเรา, บอกเรามาว่านายรักเรา....
จิน: อะไรนะ!
ฉัน: บอกเรามาสิ

ฉันทิ้งความอ่อนแอของฉันไว้ข้างหลัง และจับตาเขาไว้แต่ว่าเขาแค่พูดง่าย ๆ อย่างเหยือกเย็น แล้วก็ไป...

"เราไม่อยากพูด....ว่าเรารักใครง่าย ๆ ถ้าอยากได้ยินมากนักละก็ หาคนอื่นแทนเราซะ"

นั่นคือสิ่งที่เขาพูด แล้วเขาก็จากไป ขาของฉันรู้สึกชา...แล้วฉันก็ทรุดลงไปบนพื้น เขาไม่อยากพูดมันง่าย ๆ
เขาทำอย่างนั้นได้ไง? ฉันรู้สึกว่า... บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับฉันก็ได้...
จากวันนั้น, ฉันขังตัวเองในบ้าน และร้องไห้ แค่ร้องไห้ เขาไม่ได้โทรหาฉัน, ถึงยังไง ฉันก็ยังรออยู่ เขายังวางตุ๊กตาไว้หน้าบ้านฉันทุก ๆ วัน หลังจากเดือนนึงจากนั้น ฉันรวบรวมตัวเอง แล้วก็ไปโรงเรียน

แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ความเจ็บปวดของฉันกลับมาอีกครั้งก็คือ ฉันเจอเขาบนถนนกับผู้หญิงคนอื่น
เขามีรอยยิ้มบนใบหน้า, แบบที่เขาไม่เคยโชว์ให้ฉันเห็นตอนที่เขาจับตุ๊กตาที่จะให้ฉัน
ฉันวิ่งตรงกลับบ้านและมองตุ๊กตาในห้อง, แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เขาให้ตุ๊กตาฉันทำไม?
เขาอาจจะเอาตุ๊กตาพวกนี้มาจากผู้หญิงบางคน ด้วยความโมโหของฉัน ฉันขว้างตุ๊กตาพวกนั้นรอบห้อง

ในทันทีทันใดนั้น โทรศัพท์ดัง มันเป็นเขา เขาให้ฉันออกมาที่ป้ายรถบัสหน้าบ้าน ฉันพยายามจะทำใจให้เย็นลง แล้วเดินออกไปที่ป้ายรถ ฉันบอกกับตัวเองว่า ฉันกำลังจ่ะลืมเขา เรื่องของเราจ่ะจบลง จากนั้นเขาเดินมาหาฉัน ในมือถือตุ๊กตาตัวใหญ่ ๆ เอาไว้

จิน:แจม, ฉันคิดว่าเธอจะโกรธมาก แต่ว่าเธอออกมาจริง ๆ เหรอ?
ฉันไม่สามารถหายเกลียดเขาได้ ฉันทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็หยอกเล่นกับเขา
ในไม่ช้าเขาก็ให้ตุ๊กตากับฉันเหมือนอย่างเคย

ฉัน: ฉันไม่ต้องการมัน
จิน:อะไรกัน?..ทำไมหละ?
ฉันรวบตุ๊กตาจากเขาแล้วก็โยนมันทิ้งไปบนถนน
ฉัน: ฉันไม่ต้องการมัน ไม่ต้องการอีกต่อไปแล้ว!! ฉันไม่อยากเจอคนอย่างนายอีกต่อไป!
ฉันเอาทุกคำพูดจากข้างในของฉันออกมา แต่ไม่เหมือนวัน อื่น ๆ ตาของเขากลับส่าย

"เราขอโทษ" เขาพูดคำขอโทษด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ
แล้วเขาก็เดินออกไปที่ถนนแล้วก็หยิบตุ๊กตาขึ้นมา
ฉัน: โง่จริง! ทำไมหยิบมันขึ้นมา!!! แค่โยนมันทิ้งไป
แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจ แค่เดินไปหยิบตุ๊กตาขึ้น

จากนั้น..... บรืน~บรืน~
ด้วยเสียงอันดัง สิบล้อคันใหญ่ก็วึ่งมายังเขา
"จิน! หลบ! หลบออกไป!" ฉันตะโกน... แต่ว่าเขาไม่ได้ยินเสียงฉัน เขาก้มลงไปหยิบตุ๊กตา

"จิน!หลบไป" …บรืน~!! >>>>>ตูม!!
เสียงนั้น ช่างน่ากลัวมาก นั่นคือวิธีที่เขาจากไปจากฉัน จากไปจากฉันโดยไม่เคยเปิดตาที่จ่ะพูดคำใด ๆ
จากวันนั้น, ฉันจะต้องผ่านความรู้สึกผิดและความเศร้าเพราะว่าสูญเสียเขา...
และหลังจากที่ฉันใช้เวลา 2 เดือน เหมือนคนบ้า, ฉันหยิบตุ๊กตาขั้นมา มันคือของขวัญอย่างเดียวที่เขาให้ตั้งแต่เราคบกัน ฉันจำวันเหล่านั้นที่ฉันใช้เวลาอยู่กับเขา และเริ่มนับวันที่เราเคยรักกัน

1...2...3...484...485.... แล้วก็หยุดที่ตุ๊กตา 485 ตัว


แล้วฉันก็เริ่มร้องไห้อีกครั้ง พร้อมกับถือตุ๊กตาตัวนึงในแขนของฉัน ฉันกอดมันอย่างแน่น, ทันใดนั้น....
"ฉันรักเธอ~ ๆ" ฉันทำตุ๊กตาหล่น แล้วก็ช็อก...
ฉัน.รั..ก..เธอ??
ฉันหยิบตุ๊กตาขั้นมาแล้วก็กดลงไปที่ท้องของมัน
"ฉันรักเธอ~ ๆ" เป็นไปไม่ได้!
กดลงไปที่ท้องของตุ๊กตาทุกตัว แล้วข้าง ๆ ของฉันเต็มไปด้วยตุ๊กตา
"ฉันรักเธอ~ " "ฉันรักเธอ~ " "ฉันรักเธอ~ "
คำเหล่านั้นออกมาไม่หยุด
ฉัน...รัก....เธอ...

ทำไมฉันไม่รู้ตั้งแต่ตอนนั้น? ว่าหัวใจของเขาอยู่ข้าง ๆ ของฉัน, ปกป้องฉันไว้
ทำไมฉันไม่รู้ตั้งแต่ตอนนั้น ว่าเขารักฉันขนาดนี้? ฉันหยิบตุ๊กตาอีกต้วหนึ่งใต้เตียง แล้วก็ กดท้องของมัน
มันเป็นตุ๊กตาตัวสุดท้าย ตัวที่ตกบนถนน ยังมีคราบเลือดติดอยู่ เสียงที่ออกมาเป็นเสียงที่ฉันคิดถึงมาก
"แจม...รู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร? เรารักกันมา 486 วันแล้วนะ เธอรู้ไหมว่า 486 คืออะไร? เราไม่สามารถบอกรักเธอ....อืม...ตั้งแต่ที่ฉันอายเกินไป....ถ้าเธอให้อภัยเราและเอาตุ๊กตาตัวนี้ไป, เราจะบอกว่า เรารักเธอ...ทุกวัน...จนวันตาย…แจม...เรารักเธอ...."

น้ำตาหล่นออกมาจากฉัน ทำไม? ทำไม? ฉันถามพระเจ้า, ทำไมฉันถึงเพิ่งมารู้ตอนนี้
เขาไม่สามารถอยู่ข้างกายฉันได้ แต่ว่าเขารักฉันจนนาทีสุดท้ายของเขา
สำหรับนั้น, และสำหรับเหตุผลนั้น...สำหรับฉัน...มันกลายมาเป็น ความแกร่ง....ที่จ่ะมีชีวิตอยู่อย่างสวยงาม

วันวาเลนไทน์ครั้งสุดท้าย


“แนนๆ ใกล้วาเลนไทน์แล้วนะ....” จอย เพื่อนร่วมงานของแนนหันมาคุย ขณะแนนกำลังง่วนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะตัวเอง
“อืม...วาเลนไทน์อีกแล้วสินะ” แนนเงยหน้าขึ้นสบตาจอยพลางยิ้มพูดเบาๆ

วาเลนไทน์...14 กุมภาพันธ์ วันที่กุหลาบทั่วโลกบานพร้อมกัน วันที่ความรักงอกงามได้เร็วกว่าทุกวัน และเป็นวันที่กามเทพแผงศร ให้หลายๆคู่ได้สมหวัง แต่คงไม่ใช่แนน...เธอคนนี้แน่นอน ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ความแออัดและตึกสูงในเมืองหลวง...มีหมู่บ้านจัดสรรเล็กๆกำลังก่อตัวขึ้น ก่อตัวขึ้นพร้อมกับความรัก ความรักของเขาและเธอ

“เธอๆ มาเล่นก่อกองทรายด้วยกันมั้ย” เด็กผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตามอมแมมกำลังนั่งเล่นบนกองทรายสูงท่วมหัว
“เธอชื่ออะไร เราชื่อเอ” เด็กผู้ชายแนะนำตัวเองก่อน พลางกระโดดลงมาจากกองทราย

“ฉันชื่อแนน” เด็กผู้หญิงแนะนำตัวเองบ้างพลางค่อยๆนั่งลง ทั้งคู่ค่อยๆก่อกองทราย เด็กผู้หญิงวิ่งไปเอาน้ำมารดให้ทรายเปียกชุ่ม เด็กผู้ชายค่อยๆเอาเศษไม้เกลี่ยให้ดินทรายที่เปียกค่อยๆก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง จนได้เค้าโครงของปราสาททรายที่ต้องการ

“เอ เดี๋ยวแนนประดับปราสาททรายเองนะ” เด็กผู้หญิงวิ่งมาพร้อมกับก้อนหินสีสวยในกำมือ วางลงข้างๆปราสาททรายที่กำลังจะอวดโฉมออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

“แนนๆ ตรงนี้เป็นห้องของแนนนะ ห้องของเจ้าหญิงงัย ส่วนตรงนี้เป็นห้องของเอ......อันนี้เป็นห้องประชุมนะ” เอพูดพลางชี้ไปเรื่อยๆบนปราสาททราย.....กองทรายแห่งความฝัน

“เอๆ ต้องทำสวนดอกไม้ตรงนี้ด้วย เจ้าหญิงต้องมีสวนดอกไม้นะ” แนนพูดแย้งขึ้นพลางชี้ไปตรงด้านหน้าปราสาททราย
“แนนอยากได้สวนอะไร....อยากได้ดอกไม้อะไร” เอพูด เงยหน้าขึ้นมองหน้าแนนอย่างใจจดใจจ่อ
“เอาดอกอะไรดี...เอ ช่วยแนนคิดหน่อยสิ” แนนมองหน้าเอด้วยแววตาใสซื่อ เด็กตัวเล็กๆสองคนกำลังสวมบทเจ้าหญิงและเจ้าชายกันอยู่
“อืม...เจ้าหญิงต้องเหมาะกับดอกกุหลาบนะ” เอพูดพลางทำท่าคิด
“ตกลงๆ สวนดอกกุหลาบนะ เราจะทำสวนดอกกุหลาบที่ลานหน้าปราสาทของเรา” แนนพูดพลางยิ้ม ค่อยๆเกลี่ยทรายให้เรียบเพื่อทำเป็นลาน....ทั้งคู่สร้างปราสาททรายแห่งความฝันของพวกเขาอยู่นาน....นานจนกระทั่ง

“เอ ไปได้แล้ว พ่อเสร็จงานแล้วลูก” เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรเดินมาสะกิดลูกชายตัวเองเบาๆ
“พ่อๆ ให้เอเล่นกันแนนอีกแป๊บนะ” ลูกชายออดอ้อนพ่อของตัวเอง

“หน่า ไปได้แล้ว เดี๋ยววันหลังมาเล่นใหม่ก็ได้นี่” พ่อของเขานั่งยองลง อธิบายให้ลูกชายฟังพลางลูบหัวเบาๆ
“ตกลงครับ เดี๋ยวให้เอบอกแนนก่อนนะ” เด็กผู้ชายตัวมอมแมมพูดพลางวิ่งกลับหลังไปหาเพื่อนของเขา
“แนน เดี๋ยวพรุ่งนี้เอมาหานะ พรุ่งนี้เอจะเอาดอกกุหลาบมา มาทำสวนกุหลาบให้แนนนะ” เอพูดพลางชี้นิ้วลงตรงลานหน้าปราสาททราย
“ตกลงๆ พรุ่งนี้เจอกันนะ” แนนยิ้มพูดพลางพยักหน้า เด็กสองคนเล่นกันช่างดูน่ารักเสียนี่กระไร

ทุกวัน เอและแนนจะมานั่งก่อปราสาททรายด้วยกัน ก่อสร้างความหวังบนมิตรภาพและความรัก ระหว่างลูกชายเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรและลูกสาวนายช่างใหญ่
“แนนๆ เมื่อวานแม่เราสอนให้เราเขียนหนังสือด้วยแหละ” เด็กผู้ชายเสื้อผ้ามอมแมมคลุกฝุ่นและทรายเปียกเงยหน้าขึ้นมองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่วิ่งเข้ามา
“ไหนๆ แม่ของเอสอนเขียนคำว่าอะไร” แนนถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“แม่เอสอนเขียนหลายคำ แต่เอจำได้คำเดียว” เอพูดพลางทำเสียงเศร้าๆ เอคงอยากจำทุกคำมาเขียนให้แนนดู
“เอจำคำไหนได้ เขียนให้แนนดูหน่อยสิ” แนนพูด เอค่อยๆก้มลงข้างๆกองทราย หยิบเศษไม้เล็กๆปักลงบนผืนทรายที่เพิ่งผ่านฝนเมื่อคืนแล้วตวัดเป็นจังหวะเพียงชั่วครู่ ปรากฎเป็นตัวอักขระลายเส้นบิดพลิ้ว คำว่า รัก ปรากฎบนผืนทรายราบเรียบที่เกาะตัวเหนียวด้วยหยดน้ำ เด็กตัวเล็กๆสองคนยืนมองด้วยความตื่นเต้น
“อ่านว่าอะไร เอ” แนนพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นและแปลกใจ
“อ่านว่า รัก” เอพูดกระซิบข้างหูแนนเบาๆ
“เหรอ อ่านว่ารักเหรอ....สอนแนนเขียนหน่อยสิ นะๆๆๆ” แนนพูดพลางเกาะแขนออดอ้อนเอ
“มานี่ๆ เอจะสอน” เอพูดพลางหยิบเศษไม้เล็กๆให้แนนจับไว้ มือเอและมือแนนจับประสานกัน ตวัดบนกองทรายให้เกิดเป็นอักขระบิดพริ้ว
“นี่ไง แนนเขียนได้แล้ว ดีใจจังเลย” แนนพูดพลางหันหลังกลับไปกอดเอด้วยความดีใจ
“มันแปลว่าอะไรเหรอ เอ” แนนยังคงสงสัยไม่หายในความหมายของมัน
“เอก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แม่บอกว่ามันมีความหมายมากนะ มากจนอธิบายไม่ได้” ใช่สิ...ความหมายมันคงมากมายเกินกว่าเด็กห้าขวบจะรู้ หรือแม้แต่คนบางคนใช้เวลาทั้งชีวิต ก็ไม่อาจรู้ว่าคำว่ารักคืออะไร....
“สักวัน เราจะรู้ความหมายมัน แม่เอบอก” เอพูดพลางหันไปมองแนน เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยืนข้างๆตน
“อืม สักวันนะ” แนนพูดพลางหันมายิ้มให้กับเอ ใช่ สักวันแนนและเอคงรู้ความหมายของมัน......



“โอ๊ย...เจ็บ” เด็กผู้หญิงผมเปียพูดขึ้นพลางจับผมเปียของตัวเองด้วยสีหน้าเซ็งๆ เธอโดนเพื่อนแกล้งดึงเปียผมของเธอประจำ
“ใครดึงผมเปียแนน” เด็กผู้ชายนั่งข้างๆเธอหันขวับกลับไปมองแทบจะพร้อมกันกับเจ้าของผมเปีย เห็นเด็กผู้ชายวัยเดียวกันสามคนนั่งอยู่ข้างหลังหัวเราะกันคิกคักพลางชี้นิ้วมาที่แนน
“ทำไมๆ ข้าดึงเอง จะทำไม” หนึ่งในเด็กสามคนพูดพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“แกล้งผู้หญิง หน้าตัวเมีย” เอยืนขึ้นชี้หน้าด่า
“แล้วจะทำไม” เด็กทั้งสามกรูกันมายืนหน้าเอ ถีบโต๊ะเรียนกระจัดกระจายคนละทิศคนละทาง
“ไม่เอาเอ อย่าไปยุ่งกับพวกนั้น” แนนพูดพลางเกาะแขนเอไว้แน่น เอเอามือจับแขนแนนออกจากตัวทันที...
ปั้ง...หนึ่งหมัดปล่อยออกไป คล้ายเป็นการประกาศสงครามของคนสองกลุ่ม ทั้งสามคนกรูเข้ามารุมเอคล้ายหมาป่ากำลังรุมขยุ้มเหยื่อ โต๊ะเรียนที่กระจัดกระจาย ข้าวของทั้งของเอและแนนตกกระจายเกลื่อนกลาดคนละทิศคนละทาง

“หยุด!!” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง...มีอำนาจมากพอจะทำให้ทั้งสี่คนหยุดการตะลุมบอนกัน
“พวกเธอทำอะไรกัน อันธพาลกันใหญ่แล้วนะ” ครูประจำชั้นเข้ามาห้ามทัพหมาป่าขยุ้มเหยื่อ แม้จะห้ามทัพได้ แต่ก็ได้ปรากฎเลือดไหลซิบๆที่คิ้วและโหนกแก้มของเอ
“เอ เจ็บมั้ย” แนนวิ่งเข้ามาทันทีที่ครูประจำชั้นเดินออกไป
“ไม่เจ็บหรอก” เอพูดพลางก้มหน้าหลบสายตาแนน
“ไม่เจ็บอะไร เลือดไหลใหญ่แล้ว ไปห้องพยาบาลนะ แนนจะทำแผลให้” แนนพูดพลางดึงตัวเอออกจากห้องเรียนไป เลือดไหลเป็นทางลงมาจากคิ้วและโหนกแก้มเปรอะเปื้อนเสื้อนักเรียนสีขาวของเอ

“โอ๊ย...เจ็บ อย่าจับสิ” เอพูดโพล่งขึ้นขณะที่แนนกำลังกดดูความลึกของบาดแผล...แต่แนนกลับยิ้มออก
“โอ๊ย แสบ” เอโอดครวญด้วยความเจ็บปวดทันทีเมื่อแนนค่อยๆกดสำลีชุบแอลกอฮอลงบนแผลของเอ
“แสบก็ทนสิ อยากหาเรื่องเค้านี่นา” แนนพูดพลางยิ้ม ค่อยๆเช็ดแผลบนใบหน้าของเอช้าๆอย่างระมัดระวัง
ทุกครั้งที่มีคนแกล้งแนน เอจะยืดอกปกป้องแนนเสมอ แม้จะต้องเจ็บตัวหรือตกอยู่ในภาวะเป็นรองก็ตามที....



“แนนๆ แฮปปี้วาเลนไทน์นะ” ชายหนุ่มวัยรุ่นแต่งตัวภูมิฐานพูดห้วนๆพลางยืนกุหลาบแดงให้กับมือหญิงสาว
“อีตาบ๊อง อย่ามาทำหวานใส่ฉันหน่า” แนนพูดกวนๆพลางยิ้ม เอได้แต่ยืนม้วนด้วยความอาย
“อ้าว ก็วันนี้วันวาเลนไทน์ ทำหวานให้เจ้าหญิงของตัวเองสักหน่อยจะเป็นอะไรไป” เอพูดพลางยิ้ม ทำไมหนุ่มวัยรุ่นเวลาอายนี่ดูตลกดีแท้ ทั้งมือทั้งแขนแทบจะไม่มีที่เก็บ สงสัยถ้าแทรกแผ่นดินหนีได้คงหนีหายไปแล้ว
“หวานกับเค้าก็เป็นเหรอ เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นนะ” แนนพูดพลางยื่นมือไปหยิกจมูกเอด้วยความเขิน เอยังคงพยายามสำรวมอาการเขินอยู่
“เอรักแนนนะ” เอพูดพลางจับมือแนนขึ้นมาเขียนรูปหัวใจไว้ที่ฝ่ามือ ตอนนี้แนนเริ่มหน้าแดงขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังพยายามกลบเกลื่อนสีหน้าตัวเอง
“เหรอ....เขียนคำว่ารักตรงนี้ ดูไม่ซึ้งเลย” แนนพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่เลิกแหย่เอ
“เดี๋ยวสักวัน เอจะเขียนไว้ตรงหัวใจแนนเลยนะ” เอพูดประหม่า มองหน้าแนนพลางเอื้อมมือดึงตัวแนนเข้ามาโอบกอดไว้แน่น....สักวัน เอจะเขียนคำว่ารักไว้ในหัวใจแนนเลย.....


ใต้ต้นไม้ใหญ่ บรรยากาศร่มรื่น มีโต๊ะหินอ่อนวางเรียงรายเป็นแนว มีนักศึกษาจับกลุ่ม บ้างคุยกัน บ้างอ่านหนังสือ บ้างหยอกล้อกินขนมกัน...

“เอ เย็นนี้แนนไปทำวิทยานิพนธ์กับเพื่อนนะ” แนนพูดพลางเก็บหนังสือ
“ไปทำวิทยานิพนธ์กับใคร” เอเงยหน้าขึ้นมองแนนทันที
“ไปกับกิ๊ฟกับฝนหนะ นะๆๆๆ” แนนพูดพลางเดินไปนั่งข้างๆเอ เขย่าแขนเหมือนเด็กอ้อนวอนผู้ใหญ่
“ให้เอไปส่งมั้ย เอว่างนะ” เอพูดพลางยิ้ม ลูบผมแนนเบาๆ
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฝนเอารถมา” แนนพูดพลางซบหน้าลงบนบ่าของเอ
“นี่ แล้วกินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมกินยาล่ะ เข้าใจมั้ย กลับถึงบ้านก็อย่าลืมโทรมาบอกด้วย” เอพูดพลางจ้องหน้าแนนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ค่ะ หัวหน้า สั่งจริงๆเลย” แนนพูดพลางยิ้ม เอามือหยิกจมูกเอด้วยความเขิน



“กิ๊ฟๆ แฟนแกเป็นงัยบ้าง” ฝนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบภายในรถ ขณะที่ตนอยู่หลังพวงมาลัย
“ปวดหัวสุดๆ เจ้าชู้เป็นบ้าเลย” กิ๊ฟพูดปัดๆคล้ายกับไม่ค่อยพอใจในแฟนตัวเองนัก
“ทำไมไม่เลิกๆไปสิ จะได้ไม่กลุ้ม” ฝนเสนอความเห็น มองหน้ากิ๊ฟผ่านกระจกมองหลัง
“หน่า....ให้โอกาสสักครั้ง” กิ๊ฟพูดพลางซบหน้าลงที่กระจกหันหน้ามองออกนอกรถด้วยอาการเอือมระอา
“โอกาสสักครั้ง รอบที่ล้าน” เสียงหัวเราะดังขึ้นเกือบพร้อมกันทั้งรถ
“แล้วแนนล่ะ แหม...เจ้าชายเธอเอาใจเธอดีนะ” ฝนพูดขึ้นพลางหันไปมองแนนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
“โอ๊ย รายนั้นไม่รู้กี่ปีแล้ว ยังจับไม่ได้สักทีว่ามีกิ๊กเก็บไว้ที่ไหน” แนนพูดยิ้มพลางหันไปมองหน้าฝน
“แปลได้สองอย่าง...ถ้าแฟนเธอไม่รักเธอคนเดียว เค้าก็เก่งมากที่หลอกเธอมานานหลายปี” เสียงหัวเราะดังขึ้นแทบจะพร้อมกันทั่วรถ
“เอี๊ยยดดด.....” เสียงเบรกลากล้อดังยาวจากด้านข้างตัวรถ คนทั้งรถหันไปมองแทบจะพร้อมกัน รถบรรทุกฝ่าไฟแดงพุ่งเข้าชนรถเก๋งของฝนอย่างจัง แรงอัดทำให้กระจกทุกบานแตกละเอียด ห้องโดยสารด้านหน้าฝั่งคนนั่งยุบเข้ามาอย่างเห็นได้ชัด....ร่างไร้สติของแนนยังคงสงบนิ่งติดอยู่ในรถเก๋งขนาดสองตอน มัจจุราชอาจฉุดวิญญาณเธอออกจากร่างได้ทุกเมื่อ



“แนนๆ” เสียงกระซิบเบาๆดังข้างหู ทำให้แนนค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมา
“อยู่ไหน....โอ๊ย เจ็บ” แนนค่อยๆอ้าปากพูด แต่ไม่ชัดนัก เฝือกขาวถูกแต่งแต้มถามร่างกายของแนนคล้ายกับเป็นเครื่องประดับ
“ใจเย็นๆ แนน เธอสลบไปสองเดือน” .....สองเดือน สองเดือน แนนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง. ...ฝนค่อยๆอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แนนฟัง.....
“แล้ว สรุปว่าฉันเจ็บคนเดียวใช่มั้ย” แนนพยายามพูด เสียงพูดของแนนแทบจะไม่ได้ยิน
“อืม...” ฝนพยักหน้าเบาๆ กำมือแนนไว้นิ่งๆ
“เอ ล่ะ เออยู่ไหน” แนนเพิ่งนึกขึ้นได้ แฟนเธออยู่ไหน
“เอมาหาเธอครั้งเดียว วันแรกที่ชน แล้วหายไปเลย” ฝนพูดพลางลูบหัวแนนเบาๆ
“ไม่เป็นไรนะ ไม่มีเอ เราก็อยู่กันได้ จริงมั้ยเพื่อน” ฝนพยายามพูดปลอบใจแนน
“อืม...” น้ำตาค่อยๆกลั่นตัวหยดลงมาจากนัยน์ตาของแนน คำพูดของฝนตอนคุยกันในรถคงจะเป็นความจริง....เขาเก่งมากจริงๆ เก่งมากที่หลอกแนนมาหลายปี เก่งมากที่หลอกว่ามีแนนคนเดียว.....ทำไมผู้ชายทั้งโลกถึงนิสัยเหมือนกันหมดเลย เสียดายเวลาที่อยู่ด้วยกัน เสียดายความรักที่มอบให้.....เสียดาย เสียดาย เสียดาย



“คุณแนน ค่อยๆก้าวนะครับ ช้าๆ” บุรุษพยาบาลพยายามพยุงแนนขึ้นเดิน แนนยังคงไม่หายเจ็บดี ยังคงต้องทำการกายภาพบำบัดอีก
“ระวังล้มนะครับ จับผมไว้ดีๆ” บุรุษพยาบาลเดินช้าๆเพื่อให้แนนเกาะแขนเดินตามช้าๆ.....ทำไมบุรุษพยาบาลถึงไม่ใช่เอนะ....ทำไม ทำไม ทำไม
“คุณบุรุษพยาบาลค่ะ นี่ฉันสลบไปนานถึงขั้นต้องกายภาพบำบัดกันเลยเหรอ” แนนถามด้วยความสงสัย
“โห คุณไม่ได้เดินสามเดือนนี่ มันนานนะครับ” บุรุษพยาบาลตอบด้วยความสุภาพ
“จะว่าอะไรมั้ยค่ะ ถ้าจะถามชื่อเล่น คือถ้าเรียกว่าคุณบุรุษพยาบาล เกรงว่ามันจะยาวไป” แนนพูดพลางยิ้ม
“ผมชื่อ กอล์ฟ ครับ” บุรุษพยาบาลตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงเรียบๆ

นับจากวันนั้น แนนและกอล์ฟเริ่มสนิทกัน ทุกเย็นกอล์ฟจะพาแนนออกไปทำกายภาพบำบัด ไม่นานแนนก็สามารถเดินเองได้และออกจากโรงพยาบาลในที่สุด....

“คุณแนนค่ะ น้ำดื่มค่ะ” พยาบาลชุดขาวเดินถือแก้วน้ำมาวางข้างๆเธอ ขณะเธอนั่งรอกอล์ฟที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาล เธอได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้ด้วยไมตรี
“กอล์ฟๆ ไปกินข้าวกัน” แนนพูดทันทีที่เห็นกอล์ฟเดินออกมา มีพยาบาลหลายคนยกมือไหว้แนน แนนก็ได้แต่รับไหว้ด้วยสีหน้างงเล็กน้อย
“ไปสิครับ” กอล์ฟพูดพลางค้อมตัวลงผายมือไปที่ห้องอาหารของทางโรงพยาบาล ดูกอล์ฟค่อนข้างสุภาพและให้เกียรติแนนมาก....มากจนน่าแปลกใจ ท่าทางโรงพยาบาลนี้จะเข้มงวดเรื่องมารยาทกับพยาบาลมาก แนนและกอล์ฟสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ....จนบางครั้งแนนก็อยากให้กอล์ฟมาแทนที่เอ



บ่อยครั้งที่แนนคิดถึงเอ เอก็ไม่โทรมา
บ่อยครั้งที่แนนอยากคุยกับเอ เอก็ไม่ติดต่อมา
บ่อยครั้งที่แนนนั่งเหงา อยากให้เอนั่งเป็นเพื่อน แต่เอก็ไม่ปรากฎตัว
เอ....เอ....เอ เอหายไปไหน
ไหนล่ะ หัวใจที่เอบอกว่าจะให้แนน
ไหนล่ะ หัวใจที่เอเคยเขียนไว้บนฝ่ามือแนน
มันคงหายไปแล้ว....หายไปพร้อมกับเอ
หายไปพร้อมกับผู้ชายโกหก....ผู้ชายเจ้าชู้
ทำไมผู้ชายเหมือนกันทั้งโลก.....ทำไม ทำไม ทำไม



ใกล้วาเลนไทน์เข้าไปทุกที ปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อนๆ ไม่มีเอคอยให้ดอกกุหลาบแดง ไม่มีอีตาบ๊องทำท่าเขินอายให้ดู
“แนนๆ วาเลนไทน์ปีนี้ ว่างหรือเปล่าครับ” เสียงกอล์ฟดังตามสายโทรศัพท์
“ว่างค่ะ ทำไมค่ะ” แนนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“พอดีผมมีของจะให้แนนนะครับ เดี๋ยววันวาเลนไทน์บ่ายสามโมงเจอกันที่สยามนะครับ” กอล์ฟเสนอความเห็น
“ตกลงค่ะ” แนนพูดพลางกดวางสาย สีหน้าแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง....หวังว่ากอล์ฟคงจะมาแทนที่เอได้เสียที


วันวาเลนไทน์ วันที่กุหลาบแดงบานสะพรั่งพร้อมกันทั่วโลก แม้ในลานที่สยามหรือที่วัยรุ่นเรียกกันสั้นๆว่า “เซนเตอร์พอยต์” ยังถูกละเลงด้วยดอกกุหลาบสีแดง...นักเรียน นักศึกษาต่างถือกุหลาบแดงในมือเดินกันขวักไขว่ทั่วลาน
“ขอโทษค่ะ มาสาย” แนนพูดพลางยิ้มก่อนดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
“ไม่เป็นอะไรครับ” กอล์ฟพูดพลางยิ้ม
“อืม...ว่าแต่มีอะไรจะให้แนนเหรอ” แนนพูดพลางจ้องตากอล์ฟ...หากกอล์ฟมีพิรุธ แนนจะจับได้ทันที
“อันนี้ของแนนนะครับ” ดอกกุหลาบสีแดงถูกดึงออกมาจากถุงอย่างช้าๆ วางลงบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล
“หมายความว่ายังไงค่ะ จะขอหัวใจแนนเหรอ” แนนพูดติดตลกพลางยิ้ม เธอคิดว่าเธออ่านเกมส์ออกหมด
“ผมคงไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอก” กอล์ฟพูดพลางยิ้ม แต่กลับทำให้แนนงง
“อ้าว...แล้วกุหลาบสีแดงนี่...” ไม่ทันแนนจะพูดจบ กอล์ฟต่อคำพูดของเขาทันที
“ผมไม่กล้าขอหัวใจแนนหรอกครับ เพราะหัวใจของแนนไม่ใช่ของแนน” ปั้ง...เหมือนมีแผ่นเหล็กหนาหลายฟุตทุบลงกลางศีรษะ แนนเริ่มงงกับความหมายขึ้นไปทุกที...มันแปลว่าอะไร???
“หัวใจของคุณ คือเจ้าของกุหลาบดอกนี้” กอล์ฟพูดต่อ....แนนทำหน้างงๆไม่เข้าใจความหมายแม้แต่นิดเดียว
“ตอนคุณประสบอุบัติเหตุเข้ามาที่โรงพยาบาล คุณเสียเลือดมาก...หัวใจคุณเต้นอ่อนจนแทบจะล้มเหลว พวกผมและหมอพยายามเยียวยาจนถึงที่สุด” กอล์ฟเริ่มอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น.....เรื่องที่แนนไม่เคยรู้
“มีผู้ชายคนนึง วิ่งเข้ามาบอกว่าเป็นแฟนคุณ เขาบอกให้ช่วยคุณให้ได้ เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า...เขายอมจ่ายไม่อั้น ไม่ว่าทางเราจะขออะไร เขาจะจัดหาให้หมด.....คำพูดของเขาทำให้ผมประทับใจมาก” กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่...แนนรู้ทันทีว่ากอล์ฟหมายถึงเอ
“ผมยอมแลกทุกอย่างกับชีวิตเธอ - เขายอมแลกทุกอย่างกับชีวิตคุณ” กอล์ฟพูดพลางจ้องหน้าแนนนิ่ง แต่แนนยังคงทำสีหน้างงอยู่
“เขายอมทุกอย่างจริงๆ ทีแรกหมอบอกว่าทางเราหาเลือดไม่พอให้คุณ เขาวิ่งตามหาเลือดให้คุณไปทั่วทุกโรงพยาบาล แต่กลับไม่พบว่ามีเลือดถุงไหนที่ตรงกับเลือดคุณ” กอล์ฟพูดด้วยน้ำเสียงปกติ สายตามองไร้จุดหมาย
“สุดท้ายเราตรวจเลือดของเขา พบว่าตรงกับของคุณพอดี เขาบอกให้ทางเราเอาไป เอาไปให้คุณ....ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะเป็นอย่างไร ขอแค่คุณปลอดภัยก็พอ” กอล์ฟหยุดพูดชั่วครู่พยายามกลั้นน้ำตา....แต่นัยน์ตาแนนเริ่มเจิ่งนองไปด้วยน้ำใสๆ
“ต่อมา...ตอนพวกผมถ่ายเลือดให้คุณ หัวใจคุณเต้นอ่อนลงเรื่อยๆ จนหมอต้องเดินออกไปบอกให้เขาทำใจ.....ทำใจว่าเขาจะต้องเสียคุณ” กอล์ฟพยายามเล่าต่อไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงปกติ นัยน์ตาแนนเริ่มแดงก่ำ
“เขาถามหมอว่า เธอต้องการอะไร.....” ใช่ เอถามหมอว่าแนนต้องการอะไร
“เธอต้องการ หัวใจครับ หัวใจเธอเต้นไม่ปกติ การสูบฉีดล้มเหลว เราหาเลือดให้เธอช้าไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอต้องการคือ หัวใจ” หมอหวังว่าเอคงจะเลิกหวังในตัวแนน...หยุดเล่นเกมกับมัจจุราชเสียที
“ตกลง ผมหาให้ – เขาตอบสั้นๆโดยไม่ลังเลเลย” ตกลงผมหาให้....เอจะหาหัวใจให้แนน ทั้งๆที่รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้...เขาไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวเพื่อจะทำให้เธอ


“คุณรู้มั้ย ว่าคำพูดของเขาทำให้ผมและหมออึ้งกันไปหมด โรงพยาบาลยังหาหัวใจให้คุณไม่ได้ เขาจะมีปัญญาที่ไหนหาหัวใจให้คุณได้” กอล์ฟพูดพลางพยายามหลบสายตาแนน....ตอนนี้กอล์ฟเริ่มกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว
“เขาถามเลขบัญชีของโรงพยาบาลกับหมอ....เขาไม่ได้โอนเงินมาซื้อหัวใจเทียมให้คุณ แต่เขาโอนมาตั้งมูลนิธิการกุศลให้โรงพยาบาล มูลนิธิช่วยเหลือผู้ป่วยด้านหัวใจเทียม “นานา” คุณดูดีๆ คำว่า แนน และ เอ ถ้าเขียนติดกัน มันคือ “นานา” นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของเขา – เขาอยากให้ตัวเขาเองเป็นคนสุดท้ายที่ไม่ได้อยู่กับคนที่เขารัก...เพราะไม่มีหัวใจเทียมสำรอง” เปี๊ยง....แนนโดนสะกิดต่อมความจำเข้าเต็มเปา...เธอเคยเห็นป้ายมูลนิธิขึ้นหราที่โรงพยาบาล แต่เธอไม่เคยเฉลียวใจสักนิด...มิน่า ทำไมหมอและพยาบาลต้องให้เกียรติและดูแลเธอดีเสียจนน่าแปลกใจ ทั้งๆที่เธอไม่มีส่วนได้เสียกับโรงพยาบาลแม้แต่บาทเดียว
“ทันทีที่มีการยืนยันว่าเงินเข้าบัญชีทางโรงพยาบาล เขาก็ยิงตัวตายในห้องน้ำโรงพยาบาลครับ ทิ้งโน้ตไว้ว่า มอบหัวใจให้เธอ - เขามอบหัวใจของเขาให้คุณ” ทันทีที่กอล์ฟพูดจบ แนนปล่อยโฮออกมาเหมือนไม่มีใครอยู่ข้างๆ โต๊ะรอบข้างหันมามองแนนเป็นตาเดียว....เอคือเจ้าของหัวใจ หัวใจที่อยู่ในร่างของแนน

“เขายอมแลกทุกอย่างกับคุณจริงๆ” กอล์ฟพูดพลางวางของทั้งหมดที่เอเคยฝากไว้กับทางโรงพยาบาลคืนให้กับแนน มีทั้งเครื่องเล่นเทป ม้วนเทป จดหมาย.....
“ผมคงไม่กล้าขอหัวใจคุณหรอก หัวใจคุณเป็นของเขา หัวใจเขาเป็นของคุณ” ใช่ หัวใจเอเป็นของแนน เป็นของแนนจริงๆ...ตอนนี้หัวใจแนนตายไปเรียบร้อยแล้ว ตายไปพร้อมกับเอ ตายไปพร้อมกับผู้ชายที่ยอมทุกอย่างเพื่อเธอ
“กุหลาบดอกนี้ เขาบอกผมก่อนไปเข้าห้องน้ำว่า...วาเลนไทน์ที่จะถึง รบกวนซื้อกุหลาบสีแดงให้คุณสักดอก ขอแค่ดอกเดียวก็พอ...เป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายของเขา” กอล์ฟพูดพลางเช็ดน้ำตา นั่งนิ่งๆสักพักก่อนลุกจากโต๊ะไป....ทิ้งแนนนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง


“เอรักแนนนะ” “เอรักแนนนะ” “เอรักแนนนะ” คำพูดซ้ำๆดังมาจากเครื่องเล่นเทป เป็นคำพูดเดียวกันที่พูดกันซ้ำโดยไม่มีการตัดต่อทั้งเทป.....เทป 120 นาทีโดยมีเพลงประกอบเบาๆ แนนค่อยๆคลี่จดหมายออกอ่าน....จดหมายที่มีเนื้อความเพียงบรรทัดเดียว

“หัวใจเอ...เขียนคำว่ารักไว้ เขียนให้แนนคนเดียว”